Archive

Archive for August, 2010

กรณีเขาพระวิหาร : วีรพงษ์ รามางกูร

18 August 2010 Leave a comment

กรณีเขาพระวิหาร : วีรพงษ์ รามางกูร

คอลัมน์ คนเดินตรอก

เมื่อปี พ.ศ. 2505 ขณะนั้นยังเป็นนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดูจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกปราศรัยทางโทรทัศน์เรื่อง คำพิพากษาของศาลโลก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พูดไปควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาว่าเราจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกโดยการถอนกำลังออกจากพระวิหาร และต้องคืนโบราณวัตถุกลับไปให้กัมพูชา พร้อมกันนั้นก็ประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาและมอบหมายให้สหภาพพม่าเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของทางราชการไทยในพนมเปญและที่เมืองอื่น ๆ

ทางรถไฟที่ทอดยาวจากหัวลำโพงไปถึงกรุงพนมเปญก็เป็นอันต้องหยุด ประเทศไทยประกาศปิดชายแดน ตั้งแต่นั้นมาทั้ง 2 ประเทศก็หมดความเป็นมิตรต่อกัน แต่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศตามชายแดน ซึ่งเป็นญาติพี่น้องกันต่างก็ยังไปมาหาสู่ติดต่อค้าขายกันตามปกติ จนนายพลลอนนอลรัฐประหารขับไล่ สมเด็จพระเจ้าสีหนุออกไปร่วมกับฝ่ายเขมรแดง เราจึงรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศกัมพูชาขึ้นมาใหม่ แล้วข่าวคราวเรื่องเขาพระวิหารก็เงียบหายไป

เมื่อปี 2506 พวกเรานิสิตรัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง ต้องเรียนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และบรรพ 6 ว่าด้วยครอบครัวและมรดกกับท่านศาสตราจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งท่านเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในคณะทนายของฝ่ายไทย หัวหน้าคณะทนายความของไทยเป็นฝรั่งเข้าใจว่าเป็นอเมริกัน ส่วนหัวหน้าทนายความของฝ่ายกัมพูชาเป็นชาวฝรั่งเศส

พวกเราก็กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ว่า ประเด็นที่ต่อสู้กันนั้นว่าอย่างไร ท่านก็บอกให้พวกเรากลับไปอ่านคำพิพากษาของศาลโลกเสียก่อนแล้วท่านจะอธิบายให้ฟัง

เมื่ออ่านจบแล้วเราก็เข้าใจขึ้นเป็นอันมาก เพราะคำพิพากษาเขียนเหตุผลไว้อย่างละเอียด ทั้งคำฟ้องร้องของกัมพูชาและคำแก้คดีของฝ่ายไทย รวมทั้งเอกสารสนธิสัญญาแผนที่แนบท้ายสัญญา ลายพระหัตถ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงมีไปถึงข้าหลวงฝรั่งเศสประจำกัมพูชา เรื่องขออนุญาตเสด็จไปเยี่ยมชมเขาพระวิหาร ภาพถ่ายสมเด็จกับ ม.จ.พูนพิศมัย พระธิดาเสด็จเขาพระวิหาร

ประเด็นที่ต่อสู้กันก็คือ แผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาฉบับปี 1904 ที่ให้เอาสันปันน้ำเป็นเขตแดน แต่แผนที่แนบท้ายใช้มาตราส่วน 1 : 200,000 ขีดมาตามสันปันน้ำ แล้วมาวกเอาปราสาทเขาวิหารไปเป็นของกัมพูชา แล้วจึงวกกลับมาบนสันปันน้ำอีกทีหนึ่ง

เรารู้ว่าแผนที่นั้นผิดไม่ตรงกับตัวหนังสือในสนธิสัญญาปักปันเขตแดน ค.ศ. 1904 อีกทั้งไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศส ทำฝ่ายเดียวแล้วส่งมาให้ไทย ไทยรับรองให้ความเห็นชอบเพราะฝ่ายไทยไม่ได้ส่งตัวแทนไปร่วมคณะปักปันเขตแดนตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญา

แต่ในที่สุดศาลโลกตัดสินว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา เพราะแผนที่ แนบท้าย ค.ศ. 1904 เป็นส่วนหนึ่งของ สนธิสัญญาทั้งในแง่เอกสารและข้อเท็จจริงที่ทางไทยไม่ได้ทักท้วงภายใน 10 ปี อีกทั้งหัวหน้าคณะปักปันเขตแดนของฝ่ายไทยจะเสด็จเยี่ยมปราสาทพระวิหารก็ทรงมีลายพระหัตถ์ขออนุญาตข้าหลวงฝรั่งเศส ข้าหลวงฝรั่งเศสก็ออกมารับเสด็จพร้อมกับชักธงชาติฝรั่งเศสขึ้นสู่ยอดเสา มีการถ่ายรูปร่วมกัน

อาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ท่านเล่าให้พวกเราลูกศิษย์ฟังว่า ท่านรู้แต่แรกแล้วว่าเราคงจะแพ้คดี แต่โดยหน้าที่ที่เป็นคนไทยและจรรยาบรรณของทนายความก็ต้องทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างถึงที่สุด

ท่านเล่าว่าทางที่ถูกเราไม่ควรตกลงให้กัมพูชานำคดีขึ้นศาลโลก เพราะคดีที่จะขึ้นสู่ศาลโลกได้ทั้งสองฝ่ายต้องยินยอมให้ศาลโลกพิจารณา

แต่จอมพลสฤษดิ์ท่านต้องการรักษาเกียรติภูมิของชาติว่าเราเป็นชาติอารยะ เป็นสมาชิกที่ดีขององค์การสหประชาชาติ และทนายฝรั่งเชื่อว่าฝ่ายเราจะเป็นฝ่ายชนะ อาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ท่านเป็นเสียงข้างน้อย เมื่อนายกรัฐมนตรีตัดสินใจแล้วท่านก็ต้องทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ในฐานะที่มีอาชีพทนายความและเป็นคนไทย

เมื่อฝ่ายเราแพ้คดีแล้ว ก็แปลว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับว่า แผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา มีผลบังคับใช้เหมือนกับกรณีเจดีย์สามองค์ ที่ด่านเจดีย์สามองค์ที่อังกฤษขีดวกเข้ามาทางฝ่ายไทยเป็นปากนกแก้วให้เป็นของพม่า

ปัญหาก็คือ ความชัดเจนว่าขอบเขตปราสาทพระวิหารนั้นกินขอบเขตพื้นที่ไปถึงไหน เพราะแผนที่ที่ฝรั่งเศสส่งมาให้ไทยเรารับรองหรือทักท้วงนั้นใช้มาตราส่วนย่อมาก ดูได้ไม่ชัด

คณะรัฐมนตรีในสมัยจอมพลสฤษดิ์จึง ตีความคำพิพากษาว่า ขอบเขตของปราสาทพระวิหาร หรือ “The Temple of Pra Vihar” (สื่อมวลชนไทย สะกดภาษาอังกฤษตามสำเนียงเขมรว่า The Temple of Preach Vihear ซึ่งไม่ควรสะกดอย่างฝรั่ง ควรสะกดตามสำเนียงไทย หรือสำเนียงแขกเจ้าของภาษาสันสกฤตว่า The Temple of Pra Vihar อาจจะเพราะความไม่รู้หรือไม่ก็เพราะเห่อฝรั่ง) มีขอบเขตแค่ไหน

ทางฝ่ายกัมพูชาก็ว่า “สระตาล” ห่างออกมาไกลสองสระที่เป็นที่สรงน้ำของกษัตริย์ขอมข้างหนึ่ง และเป็นที่อาบน้ำชำระร่างกายของพราหมณ์ข้างหนึ่งก่อนขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรที่ปราสาท เป็นส่วนหนึ่งของเทวสถานแห่งนี้

นอกจากนั้น ไกลออกมาถึงสถูปคู่ ซึ่งคงจะหมายถึงประตูทางเข้าพระวิหาร ซึ่งไกลออกมาถึง 2 ก.ม. เป็นเครื่องหมายแสดงขอบเขตของพระวิหาร

รวมทั้งหมดจึงจะเป็นเทวสถานหรือ พระวิหารแห่งพระอิศวรเจ้าที่สมบูรณ์ เหมือนกับอาณาเขตของวัดคงไม่ใช่เฉพาะพระอุโบสถภายในเขตที่ลงลูกนิมิตและ ใบเสมา คงเริ่มจากซุ้มประตูภายในกำแพงทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีศาลาราย วิหารคต ศาลา กุฏิพระ ฯลฯ ด้วยประกอบเข้าจึงเป็นวัด หรือ “พุทธสถาน” หรือ “พระวิหาร”

ทางเราก็ตีความว่า คำพิพากษาหมายถึงเฉพาะตัวพระวิหารสิ้นสุดที่บันไดขึ้นวิหารเท่านั้น ดังนั้นพื้นที่รอบพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรจึงยังเป็นของไทย เขมรบอกไม่ใช่ของไทย กัมพูชาไม่เคยรับรู้ ดังนั้นต่างคนต่างอ้างอธิปไตยเหนือพื้นที่ ดังกล่าวจนทางฝ่ายกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ทางยูเนสโกจึงขอให้เขมรเจรจากับไทยว่าจะร่วมกันพัฒนาอย่างไรให้เป็นเทวสถานที่สมบูรณ์ เพราะทางขึ้นอยู่ทางฝั่งไทย

หนังสือช่วยจำที่ลงนามโดย รมต. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ปี 2543 ก็ถูกต้องแล้ว หนังสือช่วยจำลงนามโดย รมต.นพดล ปัทมะ ที่ทำให้เขมรยอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตร.ก.ม เป็นพื้นที่ทับซ้อนก็ถูกต้อง หนังสือของ รมต. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เพื่อ ปูทางไปในการปักปันเขตแดน ส่วนของ รมต.นพดล ปัทมะ ก็เพื่อนำไปสู่การขึ้นทะเบียนมรดกโลก และร่วมกันพัฒนาให้เป็นมรดกโลก ทั้ง 2 บันทึกมีประโยชน์กับทั้ง 2 ประเทศและของโลกในแง่สันติภาพและวัฒนธรรมร่วมกัน

ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะนักการเมืองที่ไม่รับผิดชอบใช้ประเด็นความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองใช้ประหัตประหารกันทางการเมือง โดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์ของชาติ แท้จริงแล้วก็เพื่อประโยชน์ของตนเอง เมื่อฝ่ายหนึ่งทำเรื่องให้ง่ายให้เป็นประโยชน์ร่วมกัน อีกฝ่ายต้องการให้เป็นเรื่องยากให้เป็นโทษกับประเทศชาติ อีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นนักการเมืองเหมือนกัน มีพรรคฝ่ายค้านเหมือนกัน ก็ใช้กรณีนี้เล่นงานผู้นำของตน เอาอย่างประเทศไทยเรื่องก็เลยทำท่าจะบานปลายไปกันใหญ่

ดีที่ทหารทั้ง 2 ฝ่ายมีความเป็นอารยะพอ ไม่เถื่อนกระโจนไปตามการเมือง ซึ่งต้องชมเชยกองทัพของทั้ง 2 ประเทศ มิฉะนั้นก็ต้องรบกัน พาลูกหลานชาวบ้านไปตายโดยเปล่าประโยชน์

สื่อมวลชนของทั้ง 2 ประเทศก็พลอยไปเล่นการเมืองกับเขาด้วย ไม่ทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ ไม่เคยศึกษา ไม่อ่านบันทึกของอาจารย์ ดร.บวรศักดิ์ ดร.ชาญวิทย์ คำพิพากษาของศาลโลกก็คงไม่อ่านอยู่แล้ว

ถ้าเรื่องไปถึงคณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีความมั่นคงไม่มีทางเลือกต้องกลับไปที่ศาลโลกให้ตัดสินให้ชัดเจนว่าพื้นที่ 4.6 ตร.ก.ม.เป็นส่วนหนึ่งของปราสาทหรือไม่ เราก็ไม่มีทางเลือกเพราะได้เคยตกลงให้ศาลโลกพิจารณามาแล้ว

คิดอย่างสามัญสำนึก โอกาสที่เราจะแพ้น่าจะสูงกว่าโอกาสที่จะชนะ ทางที่ดีปล่อยให้คลุมเครือดีกว่าให้ศาลโลกตัดสินอีกครั้ง โดยถือว่าเป็นประโยชน์ร่วมกัน น่าเสียใจที่เราไปเล่นการเมืองกันจนวิถีทางการแก้ปัญหาที่พัฒนามาด้วยดีนั้นกำลังพังทลายลง พอรัฐบาลจะลงก็ต้องหาบันไดลง

แต่ก็มีคนกำลังจะชักบันไดออกไม่ให้ลง

ประชาชาติธุรกิจ, 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4236

ฟังเสียงข้างน้อย”ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์”คดียึดทรัพย์ ศาลฎีกาเชื่อตรรกะดร.สมเกียรติ แต่ผมไม่เห็นด้วย!!

11 August 2010 Leave a comment

ฟังเสียงข้างน้อย”ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์”คดียึดทรัพย์ ศาลฎีกาเชื่อตรรกะดร.สมเกียรติ แต่ผมไม่เห็นด้วย!!

ย้อนหลังไป 4 เดือนที่แล้ว ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับประชาชาติธุรกิจ… คลิกอ่าน

“ผมไม่คิดว่าศาลฎีกา จะรับครับ ยกทิ้งเลย แล้วก็ยึดทรัพย์กันไป” อะไรคือเบื้องหลังความเชื่อและหลักเหตุผลของนักกฎหมายหนุ่ม ลองพิจารณาดู …

 

วันที่ 11 ส.ค. ที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกา มีมติไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบครัว และพวก จำนวน 46,373,687,454.70 บาท ด้วยคะแนนเสียง 103 ต่อ 4 เสียง

 

ทั้งนี้ 103 เสียงไม่รับอุทธรณ์ มีจำนวน 4 เสียงที่ให้รับอุทธรณ์ และมีผู้พิพากษา 12 คน งดออกเสียง

 

สาเหตุที่ 103 เสียงไม่รับอุทธรณ์ เนื่องจากเห็นว่า ประเด็นที่ ทนายพ.ต.ท.ทักษิณยื่นอุทธรณ์มาจำนวน 5 ประเด็นนั้นไม่มีหลักฐานใหม่แต่อย่างใด

 

ย้อนหลังไป 4 เดือนที่แล้ว ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ประชาชาติธุรกิจ ว่า “ผมไม่คิดว่าศาลฎีกา จะรับครับ ยกทิ้งเลย แล้วก็ยึดทรัพย์กันไป”

 

ถ้าเป็นหมอดู ดร. วรเจตน์ น่าจะทำนายอนาคต และชะตากรรมของ”ทักษิณและพวก” ล่วงหน้าได้อย่างถูกต้อง แต่ดร. วรเจตน์ ไม่ใช่หมอดู แต่เขาเป็นนักกฎหมายมหาชน เพียงไม่กี่คนในประเทศนี้ที่กล้าเขียนบทความทางวิชาการ ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดียึดทรัพย์ คดีประวัติศาสตร์

 

เมื่ออ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์ จะพบว่า ในสำนวนของศาลรับฟังน้ำหนักพยานปาก ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) อย่างเต็ม ๆ ดังปรากฏในคำพิพากษาหลายตอน ขณะที่ ดร. วรเจตน์ โต้เหตุผลของ ดร.สมเกียรติ ในทุกประเด็น ผ่าน บทสัมภาษณ์ในประชาชาติธุรกิจและผ่านจอทีวีมาแล้ว

 

ก่อนที่เหตุผลของเสียงข้างน้อยจะเลือนหายไปในอากาศ ก่อนที่คนจะลืมว่า ประเด็นในคดียึดทรัพย์ คดีประวัติศาสตร์ ถกเถียงกันเรื่องอะไร ประชาชาติธุรกิจ ขอนำเสนอบทสัมภาษณ์ฉบับที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน มานำเสนอให้ท่านผู้อ่าน ดังนี้

 

@ ดู เหมือนว่า คนจะฟังเหตุผลของดร.สมเกียรติ มากกว่า ดร.วรเจตน์

จริงๆ แล้ว อาจารย์สมเกียรติ (ตั้งกิจวานิชย์) กับผม รู้จักกันครับ และผมคิดว่าดีนะ ที่ได้พูดกันในทางเนื้อหา อันนี้ผมชอบ ดีกว่ามาป้ายว่าผมเป็นพวกทักษิณ อย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้น่าเบื่อ แต่การเอาเนื้อหามาโต้ ทำให้เกิดการถกเถียงกันทางปัญญา ว่าตกลงเรื่องเป็นอย่างไร ใครถูกใครผิด ผู้คนที่เกี่ยวข้อง คนในวงการ ประชาชนทั่วไปก็ต้องคิดเอา ผมคิดว่าสักระยะหนึ่งคนจะตัดสินได้

ที่ผ่านมา มีคนว่าผมอยู่เรื่อยว่าต่อต้านการรัฐประหาร แต่ทำไมไม่ไปดูเนื้อหาว่าคุณทักษิณผิดหรือไม่ผิด ผมก็เลยคิดว่าคราวนี้ก็มาดูเนื้อหากันจริงๆ เพราะเป็นเหตุที่ใช้อ้างในการทำรัฐประหารด้วย ว่ามีการทุจริตกัน มีการเอื้อประโยชน์ ผมก็เลยเน้นไปที่เรื่องข้อกล่าวหา 5 ข้อ ของคตส. ว่าในทางเนื้อหาของเรื่อง เมื่อตรวจสอบจากเกณฑ์กฏหมายแล้วเป็นยังไง

เมื่อผมตรวจสอบแล้ว และเห็นว่าไม่มีการกระทำในทางกฎหมายที่เป็นการเอื้อประโยชน์ ทำให้ได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร หรือทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ มันก็ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องอื่น แต่เรื่องซุกหุ้น ก็มีคนอยากรู้ว่าผมคิดยังไง อาจารย์วรเจตน์บอกสิว่าซุกหุ้นหรือไม่

ผมเรียนว่า ถ้าพูดจากในคดี จะได้ตัดปัญหา เพราะคนก็มองว่าช่วยคุณทักษิณมั๊ย คืออ่านจากข้อเท็จจริงในคดี ผมคิดว่าถ้าฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามที่ศาลชี้ น่าจะฟังได้ว่าคุณทักษิณยังคงครองไว้ซึ่งหุ้น

แต่ถามว่าทำไมถึงพูดว่าฟังจากข้อเท็จจริงในคดี เพราะประเด็นเรื่องซุกหุ้นต่างจากอีก 5 ประเด็น คือประเด็นเรื่องหุ้นเป็นประเด็นที่วางอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงเป็นหลัก ไม่ใช่ประเด็นข้อกฎหมายเป็นหลัก ประเด็นเรื่องซุกหุ้น เป็นประเด็นที่สืบจากฐานของข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ แต่ปัญหาคือ ในเชิงเอกสาร ผมไม่เห็นทั้งหมด อ่านจากคำพิพากษาในคดีที่ศาลสรุป รวมทั้งความเห็นส่วนตนของผู้พิพากษา ทำให้เห็นได้ว่า ยังคงครองไว้ซึ่งหุ้น แต่ถ้าเห็นเอกสารทั้งหมด เห็นข้อต่อสู้ทั้งมวล ก็ต้องว่ากันอีกครั้งหนึ่ง

แต่ประเด็นที่กล่าวหากรณีของการเอื้อประโยชน์หรือไม่ใน 5 ประเด็นเป็นประเด็นข้อกฎหมาย คือผมยอมรับข้อเท็จจริงเป็นยุติตามที่ศาลได้ฟังไว้ อย่างผมกับ อ.สมเกียรติ ก็ไม่ได้เถียงกันในข้อเท็จจริง เพียงแต่การพิเคราะห์ข้อเท็จจริง และการวินิจฉัยข้อกฎหมายไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ประเด็นเรื่องซุกหุ้นจึงต่างกันตรงนี้ ผมถึงบอกว่า เรื่องซุกหุ้นถ้าเอาที่ศาลชี้ เนื่องจากมันอยู่บนฐานข้อเท็จจริงว่าความเป็นจริงหุ้นอยู่กับใครอย่างไรถ้าอ่านจากคำพิพากษา ก็อาจจะพอมองได้เหมือนกันว่าคุณทักษิณยังคงครองไว้ซึ่งหุ้น คือ ไม่ได้มีการขายออกไปจริง แต่อันนี้เป็นการประเมินในทางเนื้อหา นักกฎหมายที่มองเน้นเรื่องความมั่นคงแห่งนิติฐานะ อาจจะพิเคราะห์เฉพาะในทางรูปแบบ แล้วเห็นว่าในทางกฎหมาย ต้องถือว่าโอนหุ้นกันไปแล้วก็ได้

แต่ปัญหาเรื่องหุ้นมีมากไปกว่านั้น ไม่ใช่เฉพาะในคดีนี้ ในอนาคตข้างหน้า สมมุติว่าคุณเป็นรัฐมนตรี แล้วคุณขายหุ้นให้ลูก ปัญหาก็คือว่า ถ้ามีคนมาบอกว่าหุ้นยังไม่โอนไป มันจะต้องสืบกันมากว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไง ในทางรูปแบบโอนไปแล้ว แต่ว่าลูกมาปรึกษาว่าจะขายไม่ขาย มีคนมาติดต่อคุณว่าจะขายยังไง คุณจะเป็นนายหน้าให้กับลูกหรือไม่ ได้หรือไม่ แล้วถ้าทำอย่างนั้น จะถือว่าในทางกฎหมายหุ้นยังอยู่กับคุณหรือไม่

มันจะมีประเด็นอย่างนี้เถียงกันได้มากเลย แล้วมันมีปัญหาเรื่องความมั่นคงแน่นอนของนิติฐานะ เพราะว่าพ่อกับลูกมันใกล้กันมาก

อีกประเด็นหนึ่งก็คือ สมมุติว่า ไม่มีการขายหุ้นให้ลูก แต่ยกให้ คือ ให้โดยเสน่หาเลย แล้วยังไง กรรมสิทธิ์ที่แท้จริงเป็นของใคร โดยปกติแล้ว เราก็ดูจากในทางรูปแบบ แต่เรื่องนี้บังเอิญ มันอยู่ในรัฐธรรมนูญ ศาลมองในทางเนื้อหาด้วยว่าจริงๆ อำนาจในการตัดสินใจอยู่กับใคร ซึ่งผมบอกว่า เมื่อฟังจากศาลพอมองได้อยู่ว่า คุณทักษิณยังคงครองไว้ซึ่งหุ้น แต่ในทางรูปแบบไม่ใช่ เขาบอกว่าเขาขายไปแล้ว ในทางทะเบียนไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของลูก

ฉะนั้น ผมจึงบอกว่าประเด็นเรื่องนี้ มันจึงเป็นประเด็นซึ่งจะต้องเห็นข้อเท็จจริงทั้งหมดจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องข้อกฏหมายแล้ว แต่มันเป็นการวิเคราะห์ว่าในทางความเป็นจริง หุ้นเป็นของใครกันแน่

แต่หลายคนมองว่า เรื่องนี้ถ้าเราตีความหรือวินิจฉัยว่าคุณทักษิณครองไว้ซึ่งหุ้น ก็จะไปบอกเลยว่าเขาทุจริต หรือเป็นเรื่องที่มีการกระทำเอื้อประโยชน์ ซึ่งมันไม่ใช่ อีกอย่างหนึ่งหลายคนมีความโน้มเอียงที่จะเชื่อแบบนั้น คือ คิดว่าพอคุณทักษิณยังคงถือหุ้นไว้ ก็จะต้องทุจริตหรือเอื้อประโยชน์ทันที หรือไม่ก็สงสัยไว้ก่อน พอมีเรื่องที่อาจจะกังขานิดหน่อย ก็ไม่สนใจคำอธิบายอะไรแล้ว กระโจนไปสู่ข้อสรุปทันทีว่าอย่างนี้ต้องยึดทรัพย์

คือหลายคนไม่เข้าใจว่า ประเด็นที่ถือครองไว้ซึ่งหุ้น ผลทางกฎหมายคือ พ้นจากตำแหน่งหรือถ้าเป็นกรณีที่ฟ้องร้องกันว่ายื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ ผลก็คือ จะถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 5 ปี ไม่ใช่การยึดทรัพย์ แต่คำถามคือ เราอาจต้องวางเกณฑ์นิดนึงว่า ในอนาคตคนจะขายหุ้นให้ลูกเขาควรทำยังไง ระบบกฏหมายถึงจะเชื่อว่าเขาขายแล้ว

คือ ระบบกฎหมายจะต้องเรียกร้องจากคนขนาดไหน ถึงจะเชื่อว่าเขาขายแล้ว แล้วเราก็ต้องไม่ลืมว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องทางการเมือง มันจะไปพันกับกระแสทางการเมืองอย่างมาก กระแสการเมืองที่ไปทางนั้นทางนี้ อาจจะส่งผลต่อการวินิจฉัยชี้ขาดคดีด้วย และในที่สุดแล้ว เราจะเผชิญกับปัญหาความเสมอภาคของบุคคลต่อหน้ากฎหมาย คดีนี้ศาลมองว่าในทางเนื้อหา ดูแล้วมีพิรุธเรื่องการโอน เรื่องการทำตั๋วสัญญาใช้เงิน มันเหมือนกับไม่ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจริงๆ ดูข้อเท็จจริงหลายอย่างประกอบกันศาลบอกว่าหุ้นยังไม่ได้โอนไป

 

@ แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่คุณทักษิณเองถือหุ้นเองหรือถือโดยผ่านลูกก็ตาม แต่วันที่คุณทักษิณนั่งเป็นนายกฯ อยู่หัวโต๊ะที่ประชุมครม. แล้วมีเรื่องใน 5 โครงการนี้เข้าครม. คุณทักษิณรู้ทั้งรู้ว่ามีหุ้นตรงนี้ มันก็ดูจะไม่ถูกต้องนัก เพราะโครงการที่ตัวเองมีส่วนได้เสียเข้าสู่ครม.

อันนี้ต้องแยกครับ มันมีปัญหาเรื่องความเหมาะสมในตำแหน่งกับความไม่ชอบด้วยกฎหมายของการกระทำ 2 เรื่องนี้มันไม่ใช่อันเดียวกัน เราอาจจะวิจารณ์เรื่องความเหมาะสมในตำแหน่งได้ แต่เรื่องความชอบด้วยกฏหมายนั้น มันเป็นอีกอันหนึ่ง

แล้วจริงๆ ใน 5 กรณีนี้ ถ้าเราพูดกันจากข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรม ใน 5 กรณีนี้ถ้าพูดกันถึงที่สุด การตัดสินใจของคุณทักษิณที่มีส่วนแต่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น มีเรื่องเดียวคือ ตอนออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิต เท่านั้นครับ เรื่องเดียว แต่กรณีนี้คุณทักษิณเป็นหนึ่งในบรรดารัฐมนตรีหลาย ๆคน แล้วต่อมาพระราชกำหนดฉบับนี้ก็มาผ่านรัฐภาอีก มิหนาซ้ำยังได้รับการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญจากศาลรัฐธรรมนูญในเวลานั้นด้วย

ส่วนเรื่องอื่นๆ อีก 4 เรื่อง ประเด็นเรื่องของพรีเพด ประเด็นโรมมิ่ง ประเด็นเรื่องดาวเทียมไอพีสตาร์ ทั้ง 3 เรื่องนี้ไม่ใช่คุณทักษิณ แล้วไม่ใช่เรื่องครม. ส่วนเรื่องเงินกู้พม่าก็ไม่ใช่เรื่องของ ครม.โดยตรง แม้ว่าจะมีการเกี่ยวโยงในระดับนโยบายก็ตาม

เรื่องพรีเพดกับเรื่องโรมมิ่งเป็นเรื่องของทศท. เรื่องดาวเทียมไอพีสตาร์ ก็เป็นเรื่องรัฐมนตรีไอซีที เรื่องเงินกู้พม่าเป็นเรื่องที่ธนาคารเป็นคนให้กู้ เพียงแต่ว่าคุณทักษิณเป็นคนริเริ่ม หรือคณะรัฐมนตรีนั้นมีมติอนุมัติในเบื้องต้น ไม่เหมือนกับเรื่องพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิต ฉะนั้นต้องแยก 5 เรื่องนี้

และนี่จะเป็นปัญหาเรื่อง causation คือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล ซึ่งหลายคนไม่เข้าใจ จึงเหมารวมว่าเป็นการกระทำของคุณทักษิณหมด ซึ่งในทางความรู้สึก คุณอาจรู้สึกได้ว่าคุณทักษิณครอบงำคณะรัฐมนตรี แต่ในทางกฏหมาย นี่เป็นการยึดทรัพย์นะครับ นี่เป็นโทษเสมือนโทษอาญา หนักกว่าโทษปรับทางอาญาเสียอีก ต้องชัด จะเอาความรู้สึกหรือข้อเท็จจริงทางการเมืองมาใช้ไม่ได้ว่าคุณทักษิณครอบงำทุกองค์กร สั่งคนนั้นก็ได้ คนนี้ก็ได้ ดังนั้นเลยถือว่าคุณทักษิณกระทำการ อย่างนั้นพูดได้ในแง่การอภิปรายไม่ไว้วางใจในทางการเมือง แต่ในทางกฎหมายต้องพิสูจน์กัน ต้องมีพยานบุคคลหรือพยานเอกสาร ไม่อย่างนั้นจะต้องมีกระบวนการทางกฎหมายไปทำไม ใช้ความเชื่อความรู้สึกที่ว่าคุณทักษิณครอบงำทุกองค์กรก็ตัดสินได้แล้ว

 

กรณีที่มีคนตั้งคำถามกับผมเรื่องหุ้น หลายคนดูจะติดใจอยู่มาก บางคนก็เอาเป็นเอาตายกับผมเหลือเกินผมอยากจะบอกว่า ในที่สุดแล้วถ้าเราเห็นว่าการกระทำนั้น มันไม่ได้มีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำโดยไม่สมควรทำให้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติแล้ว เรื่องซุกหุ้นหรือไม่ซุกหุ้นก็ไม่มีความหมาย มันก็คือไม่ผิด ประเด็นคือ ยึดทรัพย์ไม่ได้ แต่ถ้าบอกว่าผิดแบบตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ก็เป็นเรื่องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

@ ทราบว่า อาจารย์อ่านคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการในคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน มีข้อสังเกตอะไรบ้างครับ

ในความเห็นส่วนตนของผู้พิพากษาแต่ละคน ผมอ่านแล้วมีข้อสังเกตนิดหน่อย แล้วก็เป็นประเด็นข่าวในหนังสือพิมพ์ด้วย คือ ตอนที่มีการลงมติ ประเด็นว่าคุณทักษิณยังคงครองไว้ซึ่งหุ้นหรือไม่ มัน 9 ต่อ 0 คือเป็นเอกฉันท์ว่าคุณทักษิณยังคงถือครองไว้ซึ่งหุ้น พอมาถึงประเด็นว่ามีการเอื้อประโยชน์ทั้ง 5 กรณี หรือไม่ มันคือ 8 ต่อ 1 แล้วพอยึดบางส่วนหรือยึดทั้งหมด มันคือ 7 ต่อ 2

กรณี 8 ต่อ 1 มันน่าสนใจว่า ผมไปอ่านคำพิพากษาส่วนตน ปรากฏว่าเฉพาะเรื่องภาษีสรรพสามิต มีคนที่เห็นว่าเรื่องภาษีสรรพสามิตไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ สองคนครับ ไม่ใช่คนเดียว

ท่านหนึ่งก็คือม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ส่วนอีกท่านคือ ท่านพงศ์เทพ ศิริพงศ์ติกานนท์ กรณีของท่านพงศ์เทพประเด็นเรื่องภาษีสรรพสามิตท่านเห็นว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ประเด็นอื่นอีก 4 ประเด็น ท่านเห็นว่าเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์หมด ท่านเลยจัดอยู่ในฝ่ายข้างมาก 8 คน

@ อาจารย์เห็นแย้งอาจารย์สมเกียรติ ประเด็นไหนบ้างครับ

เรื่องแรกคือประเด็นภาษีสรรพสามิต มีการเถียงกันว่า ตกลงการออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิตเป็นการกีดกันหรือไม่กีดกันรายใหม่เข้าสู่ตลาด เพราะถ้ามองว่ากีดกัน ก็สามารถคิดต่อไปได้ว่า เอไอเอสจะได้ประโยชน์จากการกีดกันนั้น เรื่องนี้ เป็นประเด็นที่ผมสัมภาษณ์พาดพิงอาจารย์สมเกียรติ ซึ่งไปเป็นพยานในคดี แล้วเข้าใจว่าเป็นพยานปากสุดท้าย ผมมีข้อสังเกตว่า มันมีคนที่เห็นว่าไม่กีดกันเหมือนกัน แต่ว่าเวลาอ่านคำพิพากษา แม้แต่ความเห็นส่วนตนของผู้พิพากษา เสียงข้างมาก ปรากฏว่าไม่ได้มีการให้เหตุผลของฝ่ายที่เห็นว่าไม่กีดกันในคดี ว่าทำไมถึงเห็นว่าไม่กีดกัน

คือมีการเขียนนิดเดียวเอง แล้วก็มีบางท่าน เท่านั้นที่เขียน ไม่ได้เขียนทุกท่านด้วย มีสืบพยาน อย่าง ดร. กมลชัย รัตนสกาววงศ์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกทช. ท่านก็เห็นว่าไม่กีดกัน แต่ประเด็นที่ว่าอาจารย์กมลชัยเห็นว่าไม่กีดกัน ไม่มีการบรรยายไว้ในรายละเอียด ซึ่งน่าเสียดาย

ผมไม่รู้ว่าฝ่ายทนายคุณทักษิณ ได้อ้างนักวิชาการที่เป็นนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ท่านอื่นหรือเปล่า ที่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่กีดกัน อันนี้ไม่ทราบได้ แต่เห็นว่าไม่มีพยานผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ มาคาน หรือชี้ว่าทำไมไม่กีดกัน

ประเด็นหนึ่งที่อาจารย์สมเกียรติพาดพิง บอกว่า คณาจารย์ทั้ง 5 พูดถึงเรื่องจุดคุ้มทุน โดยที่ไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ และไม่มีตัวเลขอะไรเลย ผมเรียนว่า เวลาที่เราวิเคราะห์คำพิพากษา เราวิเคราะห์จากข้อเท็จจริงในคดี ผมก็อ่านข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษา แล้ววิเคราะห์ไปจากนี้ จริงๆ ที่วิเคราะห์บอกว่า การมีภาษีสรรพสามิตมันไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ประกอบการรายใหม่ ทำให้มีต้นทุนในการประกอบกิจการสูง กว่าจุดคุ้มทุนจนเข้าตลาดไม่ได้นั้น อันนี้หมายถึงว่าอ่านจากคำพิพากษานั่นเอง

หมายถึง คำพิพากษาไม่ได้มีอะไรที่จะบ่งชี้เช่นนั้น ถ้าศาลจะบอกว่ามันกีดกัน ศาลคงต้องชี้ให้เห็นแล้วว่า มันมีต้นทุนยังไงของรายใหม่ที่มันสูง จนถึงเข้าตลาดไม่ได้ คือคณาจารย์ทั้ง 5 ไม่ได้เห็นครับ จึงบอกว่าเรื่องนี้ จากคำพิพากษาเองไม่ได้บอก เราถึงบอกว่า เมื่อเราดูจากกรณีที่มีภาระภาษีเพิ่มขึ้น เฉยๆ มันยังไม่พอฟังว่าเป็นการกีดกัน อันนี้คือประเด็นหลัก แล้วข้อเท็จจริงในคดีไม่มีด้วยว่าต้นทุนของผู้ประกอบการรายใหม่มันสูง จนถึงขนาดว่ามันเข้าตลาดไม่ได้

 

ฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ ถ้าศาลบอกว่ากีดกันก็ต้องคำนวณ เหมือนที่อาจารย์สมเกียรติบอกว่าต้นทุนเป็นยังไงบ้าง แต่ประเด็นหลักของผมเวลาเราพูดเรื่องต้นทุนมันเถียงกันได้เยอะ และประเด็นที่มีการพูดกันก็คือว่า ในคำพิพากษา ศาลแสดงให้เห็นแต่เพียงว่า ผู้ประกอบการรายใหม่ จะมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น เท่านั้นเอง

สรุปง่ายๆ ก็คือว่า รายเดิมคือเอไอเอส จะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ 25% ถ้าจะมีรายใหม่เข้าสู่ตลาด เขาจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับรัฐ 6.5 % ทีนี้เมื่อมีภาษีสรรพสามิตอีก 10 % จึงกลายเป็น 16.5 %

คำถามก็คือ ถ้าเราไม่ดูต้นทุนตัวอื่น ดูแต่เฉพาะส่วนที่ต้องจ่ายให้กับรัฐที่เป็นภาษี และส่วนแบ่งรายได้เทียบกัน ถามว่า 16.5 มันมากกว่า 25 ตรงไหน

ผมยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่า คุณประกอบกิจการอย่างหนึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเดิม จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหรืออะไรกับรัฐ 25 % ผมจะเข้าสู่ตลาด ยังไม่มีฐานลูกค้า รัฐบอกว่ากลัวผมแข่งไม่ได้ เก็บผมถูกๆ มองในมุมกลับ(นะ) มันแฟร์กับคุณหรือเปล่า ถ้าคุณต้องจ่าย 25% ผมจ่าย 5% ทำไมไม่จ่าย 25 เหมือนกัน ผมถึงบอกว่า 16.5 ยังไงมันก็ยังน้อยกว่า

ทีนี้ก็มีการโต้แย้งกัน โดยอาจารย์สมเกียรติบอกว่า รายเก่าเข้าตลาดมาก่อนมีฐานลูกค้ามาก แล้วยิ่งลูกค้าเยอะ การถึงจุดที่ได้กำไรมันก็เร็วขึ้น เรื่องนี้ผมเรียนว่า การเข้าตลาดก่อนของรายเก่า มันหมายความว่าเขาแบกรับความเสี่ยงทางธุรกิจไปก่อน ไม่ได้หมายความว่าเขาจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ เขาเข้าตลาดก่อน แบกรับความเสี่ยงทางธุรกิจไปก่อน

อีกอย่างก็คือ รายเก่าที่เขาทำสัญญาสัมปทานกับรัฐ เขาทำสัญญาสัมปทานแบบ BTO (Build, Transfer, Operate) ซึ่งก็คือ เขาเป็นคนที่ลงทุนเรื่องโครงข่าย ก็คือเขาลงทุนด้วยเงินของเขาเอง โอนให้กับรัฐวิสาหกิจ แล้วก็ประกอบกิจการ เงินลงทุนนี้จำนวนมากนะครับ เพราะว่ารัฐไม่ต้องการลงทุนเอง

รายใหม่ในการเข้าสู่ตลาดไม่ต้องลงทุนส่วนนี้ แล้วถ้าเกิดรายใหม่จะลงทุนตามระบบใหม่ ที่เป็นระบบใบอนุญาต ไม่ใช่ระบบสัญญาสัมปทานเหมือนรายเก่า เขาได้กรรมสิทธิ์ในสิ่งที่เขาลงทุน ขณะที่รายเก่าต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้กับรัฐ แล้วถามว่าตรงนี้ไม่คิดหรือ

ผมไม่แปลกใจเลยว่าบรรดาผู้พิพากษาที่ตัดสินเรื่องนี้ มีผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยในคดี คือม.ล. ฤทธิเทพ เพียงท่านเดียวที่พูดถึงประเด็น BTO ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมาก เพราะมันจะทำให้เห็นว่า รายเก่า ในการเข้าสู่ตลาดเขาเข้ายังไง มีต้นทุนการประกอบการยังไง ซึ่งตรงนี้ต้องคิด ซึ่งแน่นอนเข้าก่อนมันก็เป็นธรรมดา มันมีข้อดีข้อเสีย ต้องชั่งน้ำหนักกัน

ปัญหาก็คือว่า มีคนบอกว่าการที่รัฐบาลออกอันนี้ 10% เพิ่มขึ้นเลย 10% คือ ภาระภาษีเพิ่มขึ้น แต่ถามว่าเพิ่มแล้วที่สุดมันทำให้แข่งไม่ได้หรือเปล่า หรือทำให้เขาไม่มีมูลเหตุจูงใจในการเข้าสู่ตลาดมั๊ย นี่คือประเด็น ซึ่งต้องพรูฟกันว่ามันเป็นการกีดกันยังไง

ท่านก็บอกว่า ตัวพิกัดภาษีมันเลื่อนไปได้ ต่อไปรัฐบาลอาจกำหนดเป็นร้อยละ 20 ก็ได้ ซึ่งมันยังไม่เกิด แต่ก็มีคนบอกว่ามีคนไม่กล้าลงทุน เพราะเขาก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลขึ้นยังไง เราต้องเข้าใจว่า เวลารัฐบาลจะทำพวกนี้ มันจะต้องดูสภาพตลาดต่างๆ เขาก็บอกว่า วันดีคืนดีคุณทักษิณ ก็ขึ้นภาษีสรรพสามิต ไป 30 ,40% อันนี้คือการคาดเดาแล้ว แล้วถ้าหากรัฐบาลถ้าทำอย่างนั้นก็จะมีประเด็นความชอบด้วยกฎหมายตลอดจนความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการกระทำดังกล่าวตามมาด้วย

แน่นอน อาจจะมีคนบอกว่า คนประกอบธุรกิจเขาอาจจะคาดเดาได้ แล้วก็รู้สึกไม่มั่นใจ แต่มันคือการคาดเดา แล้วถ้าเกิดไปอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญรวมทั้งในทางความเป็นจริงด้วย เราจะเห็นได้ว่า ที่เขาทำภาษีสรรพสามิตขึ้นมา เขาต้องการแก้ปัญหาเรื่อง การแปรสัญญาสัมปทาน ซึ่งมันทำไม่สำเร็จตั้งแต่ปี 2537 ทำมาหลายรัฐบาลแล้วมันทำไม่ได้ แล้วถึงเวลานั้นมีการแปรรูปไปแล้วจากองค์การโทรศัพท์ไปเป็นทีโอที แล้วก็การสื่อสารไปเป็นบริษัทกสท. แล้วต่อไปจะเอาสองหน่วยงานนี้เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์

 

พอเอาเข้าตลาด ก็จะต้องขายหุ้นให้เอกชน ในขณะที่ 2 หน่วยได้เงินสัมปทานจากเอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ กินเงินสัมปทานต่อไป ถ้าเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วไปขายหุ้น เอกชนที่เป็นผู้ถือหุ้น ก็จะได้เงินส่วนแบ่งสัมปทาน ซึ่งไม่ถูกต้อง เขาจึงหาวิธีเอาเงินเข้าคลังโดยตรง ซึ่งเขาก็ตัด 10% เข้าคลังโดยตรง ทำให้รัฐได้ประโยชน์โดยตรง

ทีนี้มีคนบอกว่า การออกพรก.สรรพสามิต ไม่ต้องการเก็บภาษีจริงๆ หรอก เพราะว่าออกมา บอกว่า เก็บ 10% แต่จริงๆ ไม่ได้เก็บ เอา 10% ออกไปหักจากค่าสัมปทาน คือ เอไอเอสต้องจ่าย 25% ให้กับทีโอที ก็บอกว่า 10 % ที่เป็นภาษีสรรพสามิต ให้เอาไปหักออกได้จากค่าสัมปทาน ก็คือจ่ายให้กับทีโอที 15 % แล้วจ่ายเข้าคลัง 10% ในความเป็นจริงคือรัฐไม่ได้ภาษี เพราะว่าแม้จะออกกฎหมายให้เก็บ แต่เอาตรงนี้ไปหักออกจากส่วนที่เอกชนต้องจ่ายกับรัฐอยู่แล้ว ฟังดูเหมือนว่ารัฐบาลคุณทักษิณทำเรื่องนี้หลอกๆ โดยมีวัตถุประสงค์สร้างกำแพงภาษีให้รายใหม่เท่านั้น รายเก่าก็จ่ายเท่าเดิม เรื่องนี้ต้องอธิบายว่ามาตรการทางภาษี มันเป็นมาตรการที่รัฐบาลในเวลานั้นใช้แก้ปัญหาการแปรสัญญาสัมปทาน เป็นมาตรการที่รัฐบาลทำขึ้นเพื่อให้ได้ความมั่นคง ในแง่ของเงินที่จะเข้าคลังโดยตรง แน่นอนว่าการแก้ปัญหานี้ทำได้หลายวิธี แต่วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งภายใต้ข้อจำกัดหลายๆเรื่องที่มีอยู่ในเวลานั้น แม้ว่าวิธีนี้จะมีประเด็นให้ถกเถียงกันได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นเรื่องในทางนโยบาย ไปดูวิธีการแปรสัญญาที่ฝ่ายวิชาการทำวิจัยสิครับ แต่ละแห่งที่ทำวิจัยเรื่องเดียวกัน ยังเสนอวิธีการแก้ปัญหาต่างกันเลย

ถ้าเกิดรัฐจะเก็บเงินภาษีจริง ๆ ไม่ยอมให้รายเก่าหักออกจากค่าสัมปทาน ก็เท่ากับว่า เอไอเอสจ่าย 25 % ที่เป็นค่าสัมปทานให้กับทีโอที แล้วยังต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตอีก 10 % ถามว่าภาระภาษีสรรพสามิตตรงนี้ไปอยู่กับใครครับ เขาก็จะต้องผลักตรงนี้ไปให้ผู้บริโภคซึ่งก็คือพวกเรานั่นเอง

การที่เอา 10% ไปหัก จึงไม่ทำให้เกิดภาระกับผู้บริโภค เขามีเหตุผลอธิบาย ผมถึงบอกว่า ผมดูทั้งหมดแล้วมันอธิบายทางกฎหมายได้ มันมีลอจิกของมันอธิบายได้ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้

 

@ มุมมองอาจารย์วรเจตน์กับอาจารย์สมเกียรติเป็นมุมมองจากกรอบแว่นตาต่างสีหรือเปล่า

ผมไม่แน่ใจ (ครับ) แต่ถามว่าสิ่งที่ผมอธิบายให้ฟัง มันใช่หรือเปล่าล่ะ ผมไม่รู้ว่านักเศรษฐศาสตร์เขาคิดยังไง เพราะบังเอิญมีอาจารย์สมเกียรติพูดอยู่ท่านเดียว อาจจะต้องไปถามนักเศรษฐศาสตร์คนอื่นว่าเขาจะคิดแบบผมบ้างมั๊ย ผมคิดว่ามีแน่นอน แล้วผมพยายามสำรวจ ตรวจสอบตรรกะของผมดู ผมก็ยังไม่พบว่ามันบกพร่องนะ ในแง่นี้ เพราะมันมีเหตุผลอธิบายได้

แล้วมองในทางกลับกัน ภาษีที่มันเพิ่มขึ้น อาจจะมีผลในการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันก็ได้ เพราะมันทำให้เราต้องคำนวณดูว่า สมมุติว่ารายเดิมมีภาระส่วนแบ่งรายได้สูงมาก รายใหม่น้อยมาก รายเดิมก็อาจจะเสียเปรียบได้ แม้ว่ารายเดิมจะมีฐานลูกค้าอยู่ แต่ถ้ารายใหม่เข้าตลาดมา มันส่งผลที่ต้องจ่ายตรงนี้น้อยมาก เพราะดั๊มราคาได้ เข้ามาแข่ง ซึ่งเขาบอกว่าโอเคให้รายใหม่แข่งได้ แต่ว่า ช่องว่างที่ห่างมากเกินไป บางทีมันอาจทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกันก็ได้

อีกอันที่ต้องแย้งอาจารย์สมเกียรติก็คือ ผมบอกว่ามันไม่ได้มีการกีดกัน มีคนบอกว่าไม่กีดกันได้ยังไง เพราะหลังจากออก พระราชกำหนดภาษีสรรพสามิตแล้ว ไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาดเลย ผมบอกว่า ที่มันไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาด เป็นเพราะว่ามันมีปัญหาเรื่องการออกใบอนุญาตของกทช. ทีนี้อาจารย์สมเกียรติแย้งประมาณว่าผมไม่ได้ดูความเห็นกฤษฎีกาเลย บอกว่า ผมไม่ได้พูดถึงความเห็นกฤษฎีกา ที่กทช.เคยถามว่า สามารถจัดสรรคลื่นได้มั๊ย แล้วกฤษฎีกาก็บอกว่า จัดสรรได้ อาจารย์สมเกียรติก็เลยบอกว่า ที่ผมบอกว่า ไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาด เนื่องจากปัญหาอำนาจของ กทช. ไม่ถูกต้อง เพราะกฤษฎีกาก็บอกว่า กทช.สามารถจัดสรรคลื่นได้ อันนี้ต้องอธิบายหน่อยว่าอาจารย์สมเกียรติเข้าใจตรงนี้คลาดเคลื่อน

ประเด็นของเรื่องเป็นอย่างนี้ครับ การที่รายใหม่เข้าสู่ตลาด เข้ามาแข่งกับเอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ หลังจากที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปแล้ว รายใหม่เวลาเข้าสู่ตลาด เขาเข้าสู่ตลาดในระบบใบอนุญาต คือต้องได้รับใบอนุญาตจาก กทช.

ทีนี้มันมีปัญหาถกเถียงกันว่าก่อนที่ กทช.จะจัดสรรคลื่น จะต้องมีการจัดทำแผนแม่บทคลื่นความถี่แห่งชาติก่อน ซึ่งจะทำแผ่นแม่บทดังกล่าวได้ จะต้องมีคณะกรรมการร่วมระหว่าง กทช. กับ กสช. ทีนี้ อย่างที่เรารู้กันว่าในช่วงที่ผ่านมา เราไม่สามารถตั้ง กสช.ได้ พอตั้งกสช.ไม่ได้ มันก็ไม่มีคณะกรรมการร่วม มาจัดทำแผนแม่บทคลื่นความถี่ ก็เลยมีปัญหาเถียงกันว่าตกลงในขณะที่ไม่มีกสช. กทช.จะมีอำนาจในการจัดสรรคลื่นหรือเปล่า

 

ความเห็นส่วนตัวผม ผมเห็นว่า กทช.มีอำนาจ แต่ว่าก่อนหน้านั้น มันมีปัญหาเถียงกันเรื่องอำนาจของกทช. ว่ามีหรือไม่มีมาโดยตลอด แล้วจนกระทั่งถึงปี 2549 สังเกตปีนะครับ ที่อาจารย์สมเกียรติอ้างกฤษฎีกา ผมจะบอกว่า ปี 2549 กทช. ถามกฤษฎีกาว่าตัวเองมีอำนาจในการจัดสรรคลื่นความถี่หรือเปล่า

กฤษฎีกาตอบเมื่อเดือนสิงหาคม เดือนเดียวก่อนการรัฐประหาร 19 กันยา ว่า กทช.สามารถจัดสรรคลื่นความถี่เพื่อกิจการโทรคมนาคมได้ โดย กทช.ต้องจัดทำแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคมให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและเป็นไปตามข้อบังคับวิทยุสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่คณะกรรมการร่วมจะนำมาจัดทำแผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่และตารางกำหนดคลื่นความถี่แห่งชาติเสียก่อน ความเห็นนี้เพิ่งเกิดขึ้นปี 2549 และตอบคำถามอาจารย์สมเกียรติในตัวว่าแปลว่าอะไร เรื่องนี้ กฤษฎีกาตอบสิงหา 2549 แปลว่ามันมีความไม่แน่ใจในอำนาจกทช.มาเป็นเวลาหลายปี ซึ่งเรื่องนี้เถียงกันมาตั้งแต่ปี 2546 เพราะฉะนั้นที่อาจารย์สมเกียรติอ้าง ยิ่งสนับสนุนความเห็นผมว่าก่อนหน้านั้น กทช. ไม่แน่ใจในอำนาจออกใบอนุญาตของตัวมาโดยตลอด เพราะว่าเขาไม่แน่ใจอำนาจจึงถามไป กฤษฎีกาตอบเป็นเรื่องเสร็จ ที่ 386/2549 นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญว่าทำไมไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาด

อีกอันหนึ่งที่อาจารย์สมเกียรติแย้งก็คือ ประเด็นเรื่องผู้ประกอบการเดิมตามสัญญาสัมปทานมีสิทธิดีกว่าผู้ประกอบการตามระบบใบอนุญาต เพราะว่าของเก่าทำสัญญา ของใหม่เป็นใบอนุญาต โอเค ถูกว่ารายเดิมมีสิทธิผูกขาด แต่ว่าต้องโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินให้กับรัฐนะ แล้วระยะเวลาในการประกอบกิจการใกล้จะหมดแล้ว เหลือไม่กี่ปี จ่ายค่าสัมปทานแพง 15, 20, 25, 30 หรือ 20 แล้วแต่ แต่รายใหม่แม้ไม่มีสิทธิผูกขาดเป็นผู้รับใบอนุญาต แต่ว่าเป็นเจ้าของโครงข่ายได้ อันนี้อาจจะต้องเปรียบเทียบกันนิดนึง

อีกประเด็นหนึ่งที่โต้แย้งกันก็คือ ที่ผมบอกว่า ไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาดเลย อาจารย์สมเกียรติบอกว่า ที่จริงมีบริษัทหนึ่งคือไทยโมบาย แล้วอาจารย์สมเกียรติก็บอกว่าผมผิด 2 ทั้งประเด็นข้อเท็จจริงและประเด็นตรรกะ

ผมจะบอกให้ว่า ไทยโมบายไม่ใช่รายใหม่แท้จริงครับ คือ ไทยโมบายเป็นกิจการร่วมค้าที่เกิดขึ้นจากทีโอทีกับกสท. โทรคมนาคมตั้งขึ้นมาให้ทำมือถือ ทำอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ตอนนี้เลิกไปแล้ว แล้วไทยโมบายก็ไม่ได้ใบอนุญาตนะครับเพราะว่าใช้สิทธิ ของทีโอที กสท. นี่แหละทำ เขาจึงไม่ใช่รายใหม่

รายใหม่จริงๆ ไม่มี แล้วไทยโมบายเข้ามาในตลาด ได้เปรียบ คลื่นคุณก็ไม่ต้องจ่ายค่าคลื่น คือมันเป็นหน่วยที่ 2 องค์กรนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อทำในลักษณะกิจการร่วมค้า ฉะนั้นไม่ใช่รายใหม่ แบรนด์อาจจะดูใหม่ แต่ไม่ใช่รายใหม่ในความหมายที่เราพูดกัน ว่าคุณเข้ามา แล้วได้รับใบอนุญาตเข้ามา เอาเงินเข้ามาลงทุนเป็นรายใหม่ในตลาด ไม่ใช่ แต่วันนี้ไทยโมบายเลิกไปแล้ว ก็เลยมีคนบอกว่านี่ไงเป็นเพราะภาษีสรรพสามิต 10 % ผมบอกว่าไม่ใช่ ไปสรุปแบบนั้นไม่ได้ ไปดูสิครับว่าทำไม ไทยโมบายถึงเลิก เลิกเพราะปัญหาการบริหารภายใน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภาษีสรรพสามิตเลย

ฉะนั้น อย่าไปสมมุติว่าอันนี้เป็นเพราะภาษีสรรพสามิต 10 % แล้วอีกอย่างก็คือ อาจจะตลกมากเหมือนกัน ถ้าเกิดจะบอกว่า ไทยโมบาย เป็นกิจการร่วมค้าของทีโอทีกับกสท แล้วถูกกีดกัน ซึ่งทีโอที กับ กสท. กระทรวงการคลังถือหุ้น 100 % แล้วมันจะกีดกันยังไง คือตัวรัฐกีดกันไทยโมบาย ซึ่งที่สุดไทยโมบายจ่ายไป 10 % กลับไปก็ไปเข้าตัวเอง แล้วกระทรวงการคลังก็ส่งกลับมาให้ผ่านทีโอทีกับ กสทฬโทรคมนาคมได้อีก คงพูดยากมั้งว่านี่คือการกีดกัน ฉะนั้น 10% กรณีไทยโมบายไม่น่าจะเป็นประเด็น เพราะกระทรวงการคลังถึงที่สุดแล้วคงกีดกันตัวเองไม่ได้

ส่วนที่บอกว่า ไม่เห็นว่ามีรายใหม่เข้ามา ไม่ได้แปลว่ารายใหม่ไม่ต้องการเข้า อันนี้ผมคิดว่าจะถือว่าเป็นความผิดพลาดทางตรรกะไม่ได้ เพราะว่าปกติในทางธุรกิจ ถ้ามันมีประเด็น มีคนมุ่งประสงค์ ต้องการธุรกิจอย่างนี้จริงๆ มันต้องแสดงตัวว่า เขามีความมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่ตลาดนะ แล้วก็คงต้องมีการชี้ให้เห็นว่าภาษี 10 % มันเป็นอุปสรรค ทำให้เขาเข้าสู่ตลาดไม่ได้ แต่ในช่วงที่ผ่านมามันไม่มี ไม่เห็นความประสงค์ของคนที่จะเข้าประกอบการ คือ บางทีอาจจะพูดได้ว่ามีคนอยากเข้าสู่ตลาด ผมถามว่าใครล่ะ

ประเด็นสำคัญอีกอันหนึ่งที่ถามว่า แล้วจะเข้าสู่ตลาดเข้าได้มั๊ย ผมจะบอกว่ามันมีปัญหาทางเทคนิคเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องคลื่น ในคลื่น 2 จี ที่ใช้ย่านความถี่ เป็นคลื่น 2 จี มันถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว

โดยสภาพ ถ้าออกใบอนุญาตให้กับรายใหม่ ก็จะต้องเรียกคลื่นกลับมาทั้งหมด แล้วมาจัดสรรใหม่ ซึ่งมันจะยุ่งยากมาก เพราะไปกระทบกับสัญญาสัมปทาน ฉะนั้น ประเด็นเรื่องคลื่นก็เป็นปัญหาทางเทคนิคอีกอันหนึ่ง ฉะนั้น การที่ไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาด มันด้วยเหตุปัจจัยอย่างอื่น นี่ยังไม่ต้องพูดถึงมูลเหตุจูงใจในทางเทคโนโลยีด้วยว่ารายใหม่น่าจะอยากเข้าสู่ตลาดทำ 3 จี มากกว่า 2 จี

แล้วผมบอกให้ว่าเรื่องนี้ ยุติเหมือนกันในข้อเท็จจริงของศาล ไปอ่านความเห็นของผู้พิพากษาข้างมาก หลายคนเขียนเอาไว้ว่า การที่ไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาดเป็นเพราะปัญหาเรื่องกทช. มีหรือไม่มีอำนาจ ในการออกใบอนุญาตจัดสรรคลื่น เพียงแต่ว่า ผู้พิพากษาข้างมากเขียนว่า ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นก็เอามาอ้างไม่ได้ เพราะว่ายังไง มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นในเรื่องภาษีสรรพสามิตก็กีดกันอยู่ดี ซึ่งด้วยความเคารพ ศาลก็ไม่ได้พรูฟว่ากีดกันยังไง อย่างที่อธิบายไปแล้ว

ฉะนั้นเคลียร์ประเด็นนี้ว่ามันไม่ได้ประเด็นอย่างที่อาจารย์สมเกียรติเข้าใจ แล้วผมไม่ได้ผิดพลาดทั้งทางข้อเท็จจริงและทางตรรกะ

นอกจากนี้ มีการพูดถึงว่าพรก.สรรพสามิต ไม่มีที่ไหนในหมายเหตุท้ายพรก.สรรพสามิต พูดเรื่องการแปลงสภาพทีโอที หรือการจะบอกว่าต้องออกภาษีสรรพสามิต เพื่อจะมาจัดการเรื่องแปรสัญญาสัมปทาน อันนี้มาพูดทีหลังหรือเปล่า หมอเลี๊ยบก็ไม่พูดแบบนี้ตอนออก พรก.สรรพสามิต

ผมเรียนแบบนี้ว่า เวลาดูวัตถุประสงค์การออกกฏหมาย ในบ้านเรา มันไปดูที่ตัวหมายเหตุท้ายกฎหมาย ไม่ได้หรอก มันไม่พอ มันต้องดูตั้งแต่ตอนที่เขาทำนโยบาย ซึ่งเรื่องนี้ก็ปรากฏตั้งแต่ในชั้นของ ทศท. เลยมั้งครับที่คิดทำขึ้นมาของหน่วยงานชั้นต้นที่ตั้งเป็นคณะกรรมการ ลองไปอ่านคำพิพากษาดู เพราะว่ามีการพูดประเด็นเหล่านี้กัน

 

ทีนี้บังเอิญว่าตอนทำ ส่วนหนึ่งมันไปคล้ายกับ ข้อเสนอในงานวิจัยของคุณบุญคลี ปลั่งศิริ เรื่องนี้ก็มีการพูดกันว่าทำไมเอาของคุณบุญคลีมา เพราะคุณบุญคลีเคยอยู่เอไอเอสใช่มั๊ย แล้วทำเพื่อเอไอเอส ผมว่าลอจิกนี้ใช้ไม่ได้นะ

ในคำพิพากษาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องซึ่งไปเป็นพยานให้การว่า ไม่เคยเห็นวิทยานิพนธ์ของคุณบุญคลี หลายคนที่เป็นคณะทำงานที่ออกพรก.นี้ ก็ให้การอย่างนั้น แต่ผมถามจริงๆเถอะว่า ถ้าเป็นของคุณบุญคลีจริงแล้วมันยังไง ถ้างานของคุณบุญคลีมันมีเหตุผลรองรับ แล้วมันจะเป็นยังไงครับ ทำไมเหรอ เป็นบุญคลีนี่มันผิดตลอด ผมบอกว่า สำหรับผมต่อให้เป็นคุณทักษิณเองก็ตาม ถ้าแนวความคิดนั้นมีเหตุผล และแก้ปัญหาได้ มันก็ใช้ได้ หมายความว่าถ้างานวิจัยมันตอบโจทย์ อธิบายในทางเหตุผลได้ ทำไมต้องรังเกียจล่ะ

นี่เรากำลังจะบอกว่า ถ้าเป็นคุณบุญคลีแล้วผิดทันที ไม่ต้องสนใจว่าเขาพูดว่ายังไงเหรอ ฉะนั้น การอ้างแต่ชื่อคนทำวิจัยอย่างเดียว เพื่อแสดงว่าเนื้อหางานวิจัยนั้นผิด ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แล้วงานวิจัยคุณบุญคลี ไม่ควรถือเป็นหนังสือต้องห้าม ยิ่งควรสนับสนุนให้อ่านกัน ให้วิพากษ์วิจารณ์ คิดคล้อยหรือคิดค้านกันด้วยซ้ำไป

ควรเอามาอ่านว่าเขาเสนอว่ายังไง ผมก็ยังไม่เคยอ่านงานวิจัยคุณบุญคลีนะ ก็ยังสนใจอยู่ แต่ว่าในความเห็นส่วนตน ผู้พิพากษาท่านหนึ่ง คือ ท่านพงษ์เทพ กล่าวถึงเนื้อหางานวิจัยของคุณบุญคลี แล้วก็บอกว่าในงานวิจัยฉบับนี้ มีทางเลือกอยู่หลายแนวทาง แนวทางเรื่องสรรพสามิตเป็นแนวทางหนึ่งเท่านั้น และบอกด้วยว่า แนวทางสรรพสามิต ในงานวิจัยกับกรณีที่เป็น พรก.นั้น ไม่เหมือนกัน มีความต่างกันอยู่ คนละเรื่อง คนละหลักการกัน แต่ประเด็นที่ผมจะชี้คือ ไม่เป็นไรหรอก เป็นของคุณบุญคลีก็ได้ ถ้ามันถูก ก็เอาเหตุผลมาดูกัน

ประเด็นต่อมาคือ ประเด็นการออกพระราชกำหนดมีพิรุธเยอะ ทำไมถึงออกเป็นพรก.ล่ะ ทำไมไม่ออกเป็นพรบ. ผมเรียนว่า ประเด็นเรื่องการทำกฎหมายดังกล่าวในรูปพระราชกำหนด เป็นประเด็นที่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลคุณทักษิณ

คือ ผมมีความเห็นว่าเรื่องภาษีสรรพสามิตในกรณีนี้ ไม่จำเป็นต้องออกเป็นพระราชกำหนด ผมเคยลงชื่อในแถลงการณ์ หลายปีแล้ว พูดเรื่องรูปแบบในการออกกฎหมายว่า กรณีนี้ ไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วน ถ้าผมจะตำหนิเคสอันนี้ วันนี้ผมก็ยังตำหนิอยู่ว่ารัฐบาลคุณทักษิณในเวลานั้นออกเป็นพระราชกำหนดไม่ได้ เรื่องแบบนี้ทำเป็นพระราชบัญญัติได้ เอาเข้าสภาได้ ดีเบตกันได้ในสภา

แต่ประเด็นนี้จบไป เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า ออกได้ แต่โดยส่วนตัวผม เห็นว่าทำเป็นพระราชกำหนดไม่น่าจะถูกต้อง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นั้นคือความเห็นในรูปแบบวิธีการออกกฏหมาย ผมไม่ได้บอกว่าในทางเนื้อหาเป็นเรื่องกีดกันรายใหม่ เพราะเมื่อได้ศึกษาอย่างจริงจังแล้วผมเห็นว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องกีดกัน ในทางเหตุผล ผมเห็นว่ามันฟังได้นะ ในทางวิธีการ อาจจะมีปัญหาอยู่บ้างเรื่องภาษีสรรพสามิต ว่ามันเป็นมาตรการทางภาษีที่เหมาะสมหรือเปล่า ซึ่งอันนี้เถียงกันได้ว่า เป็นเรื่องสินค้าฟุ่มเฟือย หรือไม่ ประมาณนี้ แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องความเหมาะสม ซึ่งในทางกฎหมาย เราต้องเคารพการตัดสินใจของฝ่ายบริหารด้วย แม้ว่าจะไม่เห็นด้วย ก็ไปว่ากันทางการเมืองได้ แต่ไม่ใช่เอาความเห็นที่เป็นเรื่องในทางนโยบายเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นของเราคนเดียวเท่านั้นว่าเป็นความเห็นที่ถูกต้อง

หรือมีประเด็นอีกอันหนึ่งว่า ทำไมถึงต้องทำเป็นภาษี แล้วทำไมถ้าอยากจะให้เอาเงินเข้ารัฐโดยตรง ทำไมไม่ทำเป็นมติครม. หรือทำเป็นกฏหมาย ไปสั่งทีโอที กับ กสท. ว่าถ้าคุณได้เงินสัมปทานมา ให้คุณส่งเข้าคลัง แล้วก็มีการชี้ให้เห็นว่าที่ต้องทำในรูปภาษีสรรพสามิต ก็เพราะว่าคุณต้องการใช้ภาษีเป็นกำแพงกีดกันรายใหม่ไง ถ้าเกิดไม่เอาในรูปภาษี แต่ไปสั่งให้ทีโอทีกับกสท. ส่งเงินเข้าคลังโดยตรง มันก็ไม่มีภาษี 10 % ก็ไม่กีดกันรายใหม่ ฉะนั้น ด้วยการที่คุณต้องการกีดกันรายใหม่ เนี่ยแหละ คุณก็เลยไม่ใช้วิธีนั้น แต่คุณใช้วิธีออกพระราชกำหนด ทำเป็นภาษีสรรพสมิต แล้วก็มีประกาศเก็บ 10% แล้วหลังจากนั้นก็มีมติครม. เว้น 10% ให้เอา 10% ไปหักออกจากสัญญาณสัมปทาน โดยที่รายอื่นอื่นจะเข้ามา คุณต้องเจอ 10% นี้ เพราะคุณไม่มีสัญญาสัมปทาน ฟังดูก็น่าจะคล้อยตามได้

ผมอธิบายแบบนี้ว่า จริงๆ เวลาจะตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฝ่ายบริหารเขาอาจมีวิธีการหลากหลาย มันเป็นทางเลือก แล้วการเลือกแต่ละทางเลือก มีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้นั่งอยู่ในครม.วันนั้น แต่ตรงนี้ ถ้าถามผม วิธีการที่ไปสั่งหรือออกมติครม.ไปสั่งหน่วยงานให้ส่งคลังเลยกับวิธีการทางภาษี มันมีข้อดีข้อเสียต่างกันมั๊ย ก็อาจจะมี ถ้าคุณใช้วิธีออกมติ ครม. ก็อาจจะไม่มีข้อครหาเรื่อง 10% แล้วในด้านหนึ่ง ทำให้รายใหม่ ไม่มีภาระตรงนี้ เพิ่มเติมขึ้นมา

แต่ทำให้จูงใจรายใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งรายเก่าอาจจะโวยว่าทำให้ส่วนต่างของเงินที่ต้องส่งรัฐ มันต่างกันมาก กระทบกระเทือนกับการแข่งขันอย่างเป็นธรรม แต่ว่าวิธีออกกฏหมาย แล้ววิธีใช้มติครม. มันจะมีปัญหาได้ ถ้าสมมุติว่าในช่วงเวลาถัดไป มีการนำ 2 บริษัทนี้ที่แปรรูปมาจากรัฐวิสาหกิจ เข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้วกระทรวงการคลังก็ไม่ใช้ผู้ถือหุ้น 100% อีกต่อไป

มติครม. ก็ไปสั่งไม่ได้แล้ว เพราะ ไม่ได้ถือคนเดียวแล้ว หรือถ้าทำเป็นกฏหมาย มันก็จะมีปัญหาว่า ผู้ที่ถือหุ้นหรือซื้อหุ้น เขาก็บอกว่ากฎหมายนี้ละเมิดสิทธิในทรัพย์สินของเขา คุณไปเอาเงินซึ่ง จริงๆ เข้าสู่บริษัทเขา ที่เขาเป็นเจ้าของถือหุ้นอยู่ด้วย คุณไปตัดส่งเข้ารัฐ วิธีนี้อาจจะมีปัญหาแบบนั้น

ส่วนวิธีภาษี มันมีข้อดีอันหนึ่งซึ่งท่านผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย เขียนไว้ชัดเจนว่า หนี้ภาษียังไงเสียก็เป็นหนี้บุริมสิทธิ หมายความว่า บริษัทที่รับสัมปทาน คุณจะมีหนี้ยังไงกับคนอื่นเนี่ย ต้องจ่ายกองนี้ก่อน

ฉะนั้น ผมถึงบอกว่า ดูทั้งหมด มันอธิบายในทางกฏหมายได้ ในทางการเมืองคุณอาจจะอภิปรายกัน ไม่เป็นปัญหาเลย แต่เราต้องนึกว่านี่คือการยึดทรัพย์ แล้วสิ่งที่รัฐบาลในเวลานั้นทำ ในทางเนื้อหาอธิบายในทางกฎหมายได้ไหม ก็อธิบายได้

ต่อมาคือ เรื่องพรีเพด อาจารย์สมเกียรติบอกว่า เป็นดุลพินิจของคู่สัญญาฝ่ายรัฐ ลดสัมปทานเป็นประโยชน์สาธารณะ แต่ท่านเห็นว่า การเจรจาระหว่างทศท.กับเอไอเอสเพื่อลดค่าสัมปทาน ทำให้เอไอเอส มีประโยชน์มากขึ้น

และอ้างว่าดีแทคขอลด เอไอเอสก็เลยขอลดบ้าง อาจารย์บอกว่า อดัม สมิธ เคยเขียนไว้ว่ามันไม่ใช่ความใจดีของคนขายเนื้อ คนต้มเหล้า หรือคนอบขนมปังที่ทำให้เรามีอาหารค่ำ แต่เพราะเขาเหล่านั้นคิดถึงประโยชน์ของตัวเอง ประเด็นก็คือ คนเหล่านั้นเขารู้ว่าถ้าเขาเจอการแข่งขัน เขาก็ต้องสู้เพื่อผลประโยชน์ของเขาเอง ไม่ใช่อยู่ๆ เขาจะใจดีมาลดราคาให้กับเราเพื่อผลประโยชน์ของเรา

อันนี้ต้องเข้าใจว่าเอาวาทศิลป์ของอดัม สมิธ มาอ้างเฉยๆ ไม่ได้ แต่ต้องเห็นความสัมพันธ์และการออกแบบรัฐวิสาหกิจในกิจการโทรคมนาคมของเรา ถึงจะเข้าใจ ระบบการให้สัมปทานที่ทำมานั้น เป็นสัญญาสัมปทานโพสเพด แล้วจ่ายเป็นขั้นบันได ต่อมาก็มีการทำพรีเพด ตอนแรกก็มีการทดลองทำ แล้วก็ตอนหลัง ดีแทคก็ไปขอลดค่าแอคเซสชาร์ต แล้วต่อมาการสื่อสารก็ลดให้ หลังจากนั้นเอไอเอสก็เลยขอลดบ้างกับองค์การโทรศัพท์ มีการแก้ไขสัญญาสัมปทาน จากที่ถ้าถือตามเดิม เอไอเอส ต้องจ่ายเป็นขั้นบันได เป็นให้จ่ายอัตราเดียว 20% ตลอดอายุสัญญาในกรณีของพรีเพด ข้อโต้แย้งก็คือว่า การไปกำหนดการลดค่าสัมปทานให้เอไอเอส มันเอื้อประโยชน์เอไอเอส จากเดิมที่คุณจ่ายเป็นขั้นบันได คุณจ่ายเป็น 20% ตลอดสัญญา (เฉพาะกรณีโพสต์เพด)

จะเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องเข้าใจ ตัวระบบสภาพ การประกอบกิจการโทรคมนาคมในบ้านเราว่า การออกแบบหน่วยงานของรัฐ มันออกแบบในลักษณะที่ให้ผู้รับสัมปทาน คือ เอไอเอส เป็นพาร์ตเนอร์ชิพ กับ ทีโอที หรือองค์การโทรศัพท์เดิม (ซึ่งเป็นผู้ให้สัมปทานเอไอเอส) ให้แข่งกับ ดีแทคในฐานะผู้รับสัมปทานจากการสื่อสาร และแข่งกับทรูมูฟซึ่งรับสัมปทานกับการสื่อสารเช่นกัน มันเป็นแบบนี้

ทีนี้การทำธุรกิจของเอไอเอส มันจะส่งผลต่อรายได้ของทีโอทีหรือองค์การโทรศัพท์เดิม (ทศท.)หมายความว่า ถ้าเกิดเอไอเอส มีส่วนแบ่งการตลาดมาก ทศท.ก็ได้เงินส่วนแบ่งมากตามไปด้วย

จริงๆ ตอนที่มีการทำระบบพรีเพดขึ้นมาในเวลานั้น เราไม่รู้หรอกครับว่า มันจะมีคนใช้ ตลาดมันจะตอบสนองมากแค่ไหน เราเอาเหตุการณ์ในวันนี้ไปประเมินค่าเรื่องราวในตอนนั้นไม่ได้ มันไม่แฟร์ คือ เราจะต้องดูจากเวลานั้น ฐานที่มอง มองเหมือนเราอยู่เวลานั้น แล้วเรากำลังจะทำพรีเพด แล้วก็ต้องแข่งขันกัน

ประเด็นก็คือ เวลาที่มีการเจรจากันมีข้อสังเกตว่า การที่ทำเป็นแฟลตเรท 20% มีคณะกรรมการทศท. เจรจา ที่บอกว่าถ้าทำแบบนี้แล้ว เอไอเอสต้องไปลดราคาให้กับผู้บริโภค คำถามก็คือว่า เขาเจรจา ทำการแบบนี้กันได้ยังไง แล้วใครได้ประโยชน์

ผลก็คือ การแก้สัญญาลดส่วนแบ่งรายได้เฉพาะกรณีของโพสต์เพดเป็น 20% ตลอดอายุสัญญานั้น ทีโอที ได้ประโยชน์ ผู้บริโภคได้ประโยชน์ เอไอเอสได้ประโยชน์ ได้ประโยชน์หมด เพราะเมื่อทำ 20 % แฟลตเรทแล้ว การโตของพรีเพดก็โตมาก คนก็ใช้พรีเพดกันเยอะ เมื่อใช้เยอะ ฐานลูกค้าก็กว้าง เมื่อดูภาพรวมของรายได้ บวกกับโพสเพดแต่เดิม แล้วก็พรีเพด อันใหม่รวมกัน ในภาพรวม ทำให้ทีโอทีได้เงินส่วนแบ่งรายได้เยอะขึ้นกว่าเดิมมาก แม้จะมีการกำหนดส่วนแบ่งรายได้ 20 % ตลอดอายุสัญญาในส่วนของพรีเพดก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นข้อเท็จจริงยุติในคำพิพากษา ศาลก็ยอมรับ ผู้บริโภคได้ประโยชน์ นอกจากนี้เอไอเอส ไปลดราคาให้กับผู้บริโภคมากกว่าที่ตกลงกัน ตอนแก้สัญญาเสียอีก

เอไอเอสได้ประโยชน์ เขาก็มีมาร์เกตแชร์มากขึ้น มีฐานลูกค้ามากขึ้น แล้วผมถามว่าแล้วยังไง คำถามมันง่ายๆ ว่า ถ้ามองว่าแบบนี้เอื้อประโยชน์ ถ้างั้น คุณต้องให้เอไอเอส ขาดทุนใช่มั๊ย จะได้ไม่เอื้อประโยชน์ พูดแบบนี้เดี๋ยวหาว่ามองแบบเอไอเอส 100 % อีก

คือ มันจะทำยังไง เพราะว่า การออกแบบ ระบบของบ้านเราออกแบบให้องค์การโทรศัพท์ เป็นพาร์ตเนอร์ชิพ กับเอไอเอสในการแข่งขันกับรายอื่น เพราะว่าถ้าเอไอเอส โต องค์การโทรศัพท์ก็ได้เยอะ ถ้าผมเป็นกรรมการทศท. แล้วผมเล็งเห็นอยู่แล้วว่า ถ้าผมลดให้เอไอเอสแบบนี้ มันมีความเป็นไปได้ที่เป็นแบบนี้ แล้วในภาพรวมได้เยอะขึ้น แล้วทำไมผมจะไม่ลดล่ะ ผู้บริโภคก็ได้ใช้โทรศัพท์ถูกลงอีก มันไม่ดีตรงไหน มันไม่ดีตรงที่เดียวแหละ คือเอไอเอส ได้ประโยชน์ (หัวเราะ) คือเท่านี้แหละ แต่ผมถามว่าคุณจะทำยังไง ถ้างั้น คุณต้องแก้สัญญาเป็นว่า ทีโอทีได้ประโยชน์ ผู้บริโภคได้ประโยชน์ แล้วเอไอเอสขาดทุน อย่างนี้ใช่มั๊ยถึงจะเรียกว่าถูกต้อง แล้วก็ไม่เอื้อประโยชน์ แล้วมันจะทำได้ไหม

มันเป็นไปได้มั๊ยล่ะ เพราะถ้าเอไอเอส ขาดทุน ทศท.หรือทีโอทีก็จะไม่มีรายได้ทันทีครับ มันกระทบทีโอทีทันที เขาก็บอกว่า เอไอเอสยังไงก็ยังสามารถลดได้อยู่แล้ว ถึงแม้การสื่อสารจะลดให้กับดีแทค แต่ว่าถึงยังไง ดีแทค มีค่าแอคเซสชาร์ต ต้นทุนอาจจะสูงกว่า เอไอเอส อยู่แล้ว ไม่ต้องไปลดให้หรอก ถึงไม่ลด เอไอเอสก็ยังได้เปรียบดีแทค และยังสู้ราคากับดีแทคได้อยู่ดี

คำถามก็คือว่า ถ้าไม่ลดลงไป เราไม่รู้หรอกว่า เอไอเอส จะสามารถไปลดราคาให้กับผู้บริโภคได้จนถึงขนาดที่ทำไปแล้วหรือเปล่า ผมว่ามันเป็นเรื่องการบริหารสัญญาของทศท. ซึ่งถ้ามันมีเหตุมีผลอธิบายได้ มันก็โอเค ซึ่งผมก็ฟังว่ามันอธิบายได้ ผมคิดว่าถ้าผมเป็นกรรมการ ทศท. ก็คงคิดถึงประโยชน์ขององค์กรที่จะได้รับจากส่วนแบ่งรายได้ของเอไอเอส และหาวิธีบริหารสัญญาที่ผู้บริโภคได้ประโยชน์ ทศท.หรือทีโอทีได้ประโยชน์เหมือนกัน

เรื่องพรีเพด ผมอ่านในคำพิพากษาแล้วผมไม่เข้าใจตรรกะของผู้พิพากษาฝ่ายข้างมาก ที่ยอมรับว่า ทีโอทีได้ประโยชน์ ผู้บริโภคได้ประโยชน์ แต่เอไอเอสได้ประโยชน์ด้วย ถือเป็นการเอื้อประโยชน์ คือประเด็นมีอยู่อย่างเดียว ถ้ามองว่าเขาเป็นพาร์ตเนอร์ชิพกัน เป็นคู่สัญญากัน เอไอเอสมีรายได้มา ทีโอทีได้ส่วนแบ่งมาก แล้วก็รัฐออกแบบให้ทีโอทีแข่งกับ กสท. จะไม่มีปัญหาเลย คือเอไอเอสเป็นฝ่ายเดียวกับทีโอที ซึ่งต้องแข่ง

การลดให้ ก็ลดให้เพื่อให้เอไอเอสแข่งได้มากขึ้น แย่งลูกค้าได้มากขึ้น มันเป็นแบบนี้ ก็ระบบมันออกแบบมาเป็นแบบนี้ แล้วจะให้ทำยังไง

นอกจากนี้ คล้ายๆ กับว่า ผู้บริหาร ทศท. ชี้ช่องให้เอไอเอส เพราะตอนแรกเอไอเอสเขาขอมาแก้สัญญา แล้วผู้บริหาร ทศท. ให้เอไอเอสไปทำอะไรสักอย่าง แล้วบอกว่า ถ้าขาดทุนจะลดให้

คือ อย่างนี้ผมบอกว่า เหตุที่เขาเป็นพาร์ตเนอร์ชิพกัน มันเป็นเรื่องที่เขาจะแนะนำ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่อย่างนั้นต่อไป ราชการหรือหน่วยงานของรัฐคงห้ามคุยกับเอกชน คือเริ่องนี้มีการถามว่าผมไม่รู้สึกอะไรเหรอ ผมก็บอกว่า ผมไม่ได้รู้สึกนะ เพราะเขาเป็นหุ้นส่วนในทางการค้ากัน

ถัดมาประเด็นโรมมิ่ง อาจารย์สมเกียรติบอกว่า ผมมองแบบเอไอเอส 100% คือ อธิบายว่า จริงๆ เรื่องโรมมิ่ง ต้องพูดจากหลักก่อนว่าเราจะยอมให้มีการทำโรมมิ่งมั๊ย โรมมิ่ง คือ การขอเข้าไปใช้โครงข่ายโทรคมนาคมของรายอื่น

ในบ้านเราก็ประหลาด คือตอนที่มีการให้คลื่นโทรศัพท์ประกอบกิจการ ให้คลื่น 900 กับเอไอเอส คลื่น 1800 ให้กับดีแทคและทรูมูฟ ทีนี้ในช่วงระยะเวลาเร่งด่วน มีปริมาณการใช้โทรศัพท์เยอะ มันก็จะเกิดทราฟิกแจม คือ มันมาอัดกัน เพราะว่ามันเบียดกัน ทีนี้วิธีแก้ ทำได้ 2 อย่าง หนึ่งก็คือ คุณต้องปักเสาอะไรเพิ่มเติม เป็นเรื่องทางเทคนิก กับอีกอันคือ ก็ไปทำโรมมิ่ง ไปขอใช้โครงข่าย ของคลื่นในอีกย่านความถี่หนึ่ง

บังเอิญว่า มันมีบริษัทดีพีซี ที่ได้คลื่น 1800 ไปทำ แล้วเป็นบริษัทที่เอไอเอสถือหุ้นอยู่ เอไอเอสก็เลยไปขอใช้ เวลาที่มันมีปริมาณการโทรมาก ก็จะขยับไปใช้คลื่น 1800 ก็ทำให้การติดต่อสื่อสาร เป็นไปได้

ปัญหาก็คือว่า พอไปใช้คลื่น 1800 มีการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ เอไอเอสก็ไปขอหักส่วนแบ่งรายได้ ที่จะต้องจ่ายให้กับองค์การโทรศัพท์เดิม หรือ ทีโอที เช่น สมมุติว่า เอไอเอส มีรายได้ 100 บาท แล้วปรากฏว่าเอาไปทำโรมมิ่งและจ่ายค่าโรมมิ่ง ให้กับ ดีพีซี 50 บาท เมื่อเอไอเอสมีรายได้จริง 50 ก็ควรจะต้องคิดส่วนแบ่งรายได้จาก 50 บาท ไม่ใช่ 100 บาท

ประเด็นก็คือว่า สมมุติไม่ยอมให้หักค่าโรมมิ่งออกและเอไอเอสต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ 20 % เอไอเอสก็ต้องจ่าย 20 บาท จาก 100 บาท ทั้งๆที่มีรายได้จริงๆ 50 บาท

ในขณะเดียวกัน ดีพีซี ก็ต้องเอา 50 บาทอันเป็นรายได้ที่ตนได้จากการอนุญาตให้เอไอเอสมาทำโรมมิ่ง ไปจ่ายส่วนแบ่งให้กับกสท. อีก สมมุติจ่าย 18 % ก็คำนวณไป ก็เท่ากับว่ากรณีนี้ การเก็บรายได้มันเกิดการซ้ำซ้อน ก็คือรัฐ โดยสัญญาสัมปทาน ผ่านมาจากทางองค์การโทรศัพท์หรือทีโอที เก็บไปแล้วทีหนึ่ง แล้วในเงินก้อนนั้น รัฐโดยการสื่อสารหรือ กสท.โทรคมนาคม ยังเก็บอีกทีหนึ่งอีก ในเงินส่วนที่มันจ่ายไปแล้วอีก มันก็ซ้ำซ้อน

เพราะฉะนั้น วิธีการก็คือว่า ก็ต้องทำให้เขาหักออก มันก็จะทำไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการจ่าย ว่า ถ้าเอไอเอสต้องไปจ่ายค่าโรมมิ่งกับดีพีซี ก็ให้เอาค่าโรมมิ่งตรงนั้นออกไปเสีย เพราะว่า ค่าโรมมิ่งนั้น ยังไงๆ เสีย ดีพีซี ต้องไปจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากเงินก้อนนั้นอยู่แล้ว เอไอเอสก็จ่ายส่วนแบ่งเฉพาะ รายได้ที่เกิดขึ้นจริงๆ หลังจากมีการหักค่าโรมมิ่ง ก็คือ 50 บาท ในแง่นี้ก็เป็นประโยชน์กับผู้บริโภค ถ้าเกิดไม่ยอมให้หัก ก็จะไม่มีใครทำโรมมิ่ง แล้วมันก็เป็นปัญหาเรื่องการติดต่อสื่อสารที่มันทำไม่ได้

ทีนี้ก็มีคนบอกว่า ทำไมยอมให้ทำแบบนั้น คุณต้องบังคับให้เอไอเอสสร้างเสาสิ เป็นหน้าที่ที่คุณต้องทำโครงข่าย ประเด็นมันคืออย่างนี้ครับว่า การไปสร้างเสามันเป็นการลงทุน เป็นการใช้ทรัพยากร ทั้งที่ความจริงมีตัวคลื่นเหลืออยู่ใช้ได้ ทำไมไม่ให้เขาจอยกันแล้วใช้คลื่นกัน ให้เต็มประสิทธิภาพ

ทำไมต้องเอาเงินตรงนี้ไปลงทุน ไปปักเสาอีก ให้มันสิ้นเปลืองทรัพยากร โรมมิ่งคือการใช้ทรัพยากรให้มันคุ้มค่า คือมันจะประหลาดมาก แล้วไม่มีใครเขาทำกัน ไปบังคับให้ปักเสา ทั้งที่ใช้วิธีโรมมิ่งได้ แล้วก็ได้ประโยชน์กัน แล้วในบทวิเคราะห์ กลุ่มห้าอาจารย์บอกว่า ปักเสาจริงๆ ก็ไปกระทบสิ่งแวดล้อมอีก การยอมให้ทำโรมมิ่งและหักค่าโรมมิ่งได้มัน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น ลดการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์

อาจารย์สมเกียรติบอกว่าค่าสัมปทานที่เอไอเอส กับดีพีซีจ่ายไม่เท่ากัน เพราะว่า ค่าบริการพรีเพด ในดีพีซีจ่าย 18 % เอไอเอสจ่าย 20 % ฉะนั้น การอนุญาตให้เอไอเอส เอาค่าโรมมิ่งไปหักค่าใช้จ่ายได้ จึงทำให้เงินเข้ารัฐที่เป็นส่วนต่างหายไปอยู่ในกระเป่าเอไอเอส และดีพีซี ซึ่งจริงๆ คือกระเป๋าเดียวกัน

ประเด็นนี้ถูกครับ แต่ก่อนมาถึงประเด็นนี้ มันเป็นคำถามในทางหลักการว่า เรายอมให้ทำโรมมิ่งได้ไหม ถ้ายอมให้ทำโรมมิ่งได้ ประเด็นที่มันตามมา ที่มันต่างกัน 2% มันช่วยไม่ได้ เพราะมันเป็นกรณีสัญญาที่ ดีพีซีทำกับการสื่อสารไว้แบบนั้น แล้วเอไอเอสทำกับองค์การโทรศัพท์แบบนั้น

คือ ประเด็นนี้ไม่ควรนำมาเป็นประเด็นที่แย้งหลักการแต่มันเป็นประเด็นที่มันจะเกิดขึ้น ถ้ามันจะหายไป 2% มันต้องหายไป 2% เพราะหลักการที่ถูกต้อง เรื่องความต่างร้อยละ 2 จึงไม่เป็นสาระสำคัญในความเห็นผม

คือเราต้องถามก่อนว่า คุณยอมให้ทำโรมมิ่งได้หรือเปล่า ยอมให้มีการหักค่าใช้จ่ายได้มั๊ย แล้วการหักค่าใช้จ่ายจากการโรมมิ่งมันถูกต้องหรือเปล่า ถ้าหลักการถูก ก็ไม่มีปัญหา

อีกอย่างคือ การบังคับให้มีอุปกรณ์สัญญาณเพิ่มขึ้น ไม่เป็นประโยชน์กับรัฐหรอก ถึงที่สุดมันอาจจะเป็นการลงทุนที่ซ้ำซ้อนกัน

ต่อมาคือ ประเด็นเอ็กซิมแบงก์ ที่ว่ามีการเรื่องล็อกสเป็ก ไม่มีข้อเท็จจริงนี้ในคำพิพากษา ก็คงพูดไม่ได้ ว่ามันมีการล็อกสเป็กหรือไม่ แล้วเรื่องการตกลงทำสัญญากัน เรื่องความตกลงกันระหว่าง 2 ประเทศ คงพูดยาก

ถามว่า การขยายวงเงินกู้เอ็กซิมแบงก์เกิดขึ้นหลังจากที่คุณพานทองแท้และพนักงานของชินคอร์ปไปสาธิตในช่วงที่รัฐบาลไทยกับพม่าไปประชุมกัน เรื่องอย่างนี้ผม ไม่สงสัยอะไรเลยหรือ ประเด็นก็คือ แล้วมันยังไง เป็นเหตุเป็นผลกันหรือไม่ มีการสืบให้เห็นความเกี่ยวพันตรงนี้หรือเปล่า ผมไม่เห็นเลย คือ จริง ๆ คุณสุรเกียรติ (เสถียรไทย) เป็นคนพูดเป็นคนให้ปากคำเกี่ยวกับเรื่องการให้พม่ากู้เงิน แต่ก็ไม่เห็นมีประเด็นที่ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงแบบที่อาจารย์สมเกียรติสงสัย

ผมเรียนว่า การให้เงินช่วยเหลือพม่า เราต้องเข้าใจว่า การทำสัญญากู้ยืมเงินไม่ใช่เรื่องผิดปกติระหว่างประเทศ การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ บางทีเราอาจจะ เสียประโยชน์ในเรื่องดอกเบี้ย แต่เราได้ประโยชน์เรื่องอื่น แล้วข้อเท็จจริงมีปรากฏ อยู่ในการให้ปากคำว่า เราได้ประโยชน์อะไรที่สำคัญจากพม่า

ทั้งเรื่อง การป้องกันการปราบปรามยาเสพติด การจัดระบบแรงงานต่างด้าว เรื่องปตท.สผ. ได้รับสัมปทานเรื่องแก๊สที่พม่า ประเด็นพวกนี้เป็นประเด็นที่เจรจาแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ให้รัฐบาลได้มีโอกาสได้ตกลงทำ ถ้าไม่อย่างนั้น มันกลายเป็นสงสัยหมด แล้วทำอะไรไม่ได้

ผมแปลกใจมากว่า คำพิพากษาของศาล บอกว่า เรื่องได้สัมปทานท่อแก๊ส ไม่เกี่ยวกัน ผมบอกว่า เขาคุยกันเป็นสัญญาสุภาพบุรุษว่า คุณให้ผมกู้เงินดอกเบี้ยต่ำ คุณได้ตรงนี้ตรงนั้น ผมจะจัดการระบบเรื่องแรงงานต่างด้าว ป้องกันปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน ถามว่านี่ไม่ใช่ประโยชน์ของรัฐหรือ มันเป็นประโยชน์ซึ่งไม่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ แต่อาจจะมากกว่าประโยชน์ที่คำนวณเป็นเงินได้ มากกว่าดอกเบี้ยเล็กๆน้อยมากนัก แล้วมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะ ไม่ใช่ว่า พูดมาลอยๆ

มีประเด็นอันหนึ่งที่ผมอธิบาย บางคนอาจมองว่าเป็นพิรุธแต่ผมมองว่าไม่ใช่ เพราะมันมีการซื้อสินค้าจากไทยคม ในที่สุดพม่าก็บอกให้เอ็กซิมแบงก์จ่ายเงินค่าซื้อสินค้าเพื่อชำระหนี้ดังกล่าวไปที่ไทยคมโดยตรง

ถามว่าเป็นพิรุธมั๊ย ผมเห็นพ้องกับท่านผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยว่าไม่เป็นพิรุธ ถามว่าทำไมต้องให้ธนาคารโอนเงินไปที่พม่า แล้วให้พม่าโอนกลับมาที่ไทยคม ให้เสียค่าธรรมเนียมการโอนทำไม แล้วมันก็มีปัญหาความเสี่ยงด้วยว่า พม่าจะจ่ายหรือไม่จ่ายก็ไม่รู้ อันนี้ เป็นเรื่องการค้าที่การตกลงกันเป็นปกติ พูดง่ายๆ คือ ผมไม่เห็นด้วยเลยว่ามันมีความผิดตรงไหน แล้วเอ็กซิมแบงก์เขาก็บอกว่าเขาไม่เสียหาย

ส่วนที่บอกว่า ทำไมพม่าใช้อินเตอร์เน็ตน้อยแล้วอยากได้ของไฮเทค อยากได้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียม คือเราไปคิดแทนเขาไม่ได้ มันก็เป็นข้อสงสัย แต่เราไปพูดแทนเขาไม่ได้

ส่วนเรื่องคำเบิกความของคุณสุรเกียรติ ผมดูอยู่ ถามว่าผมไม่สนใจเหรอ ก็ได้ความว่า มันไม่มีตรงไหนบอกว่ามันเป็นการตกลงกัน เพื่อล็อกให้มาซื้อสินค้าจากไทยคม มันเป็นการพูดถึงการให้กู้ว่ากู้เท่าไหร่

อาจารย์สมเกียรติบอกว่า สมัยคุณทักษิณ มีอำนาจเยอะมาก คุมรัฐมนตรี ไม่เห็นหรือ ผมเรียนว่า ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญ จะลงโทษคนโดยการยึดทรัพย์ ต้องปรากฏ และอันนี้เป็นองค์ประกอบในกฎหมายปปช.เลย ว่ามันต้องได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร หรือมีทรัพย์สินเพิ่มมากผิดปกติ อันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ หมายถึงว่า มันก็มีการกระทำของคุณทักษิณ คือคุณทักษิณต้องกระทำการในความหมายทางกฎหมาย การกระทำของคุณทักษิณนั้น มันไปทำให้ตัวคุณทักษิณเอง ได้ประโยชน์ หรือได้ทรัพย์สินมาจากการกระทำที่ไม่สมควรอันนั้น

คำถามก็คือว่า แล้วมีการกระทำอะไรบ้างที่เป็นการกระทำของคุณทักษิณในคดีนี้ ไม่เห็นมีเลยครับ การออกพระราชกำหนดเป็นการทำของคณะรัฐมนตรี และในเวลาต่อมาเมื่อผ่านสภาแล้ว เป็นการทำรัฐสภา และเป็นการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่าชอบ ไม่ใช่การกระทำของคุณทักษิณ

 

ถ้าจะบอกว่า อันนี้เป็นการกระทำของคุณทักษิณ ในทางกฏหมายก็ต้องพิสูจน์ว่าคุณทักษิณนั้นครอบหรือสั่ง องค์กรเหล่านี้ ยังไง ทีนี้อาจารย์สมเกียรติบอกว่า สมัยนั้นรัฐมนตรีกลัวคุณทักษิณ ไม่ทำตาม เดี๋ยวปลด คือ อย่างนี้เป็นความสงสัยได้ในทางการเมือง แต่นี่เรากำลังพูดถึงในทางกฎหมาย (นะ) มันไม่พอ อย่างน้อยคุณต้องมีพยานมาให้ปากคำ อย่างเรื่องพรีเพด ต้องมีกรรมการ ทศท.มายืนยันสิว่ามีอิทธิพล มีการสั่งการยังไง แต่มันไม่ปรากฏในสำนวน ในความเป็นจริงอาจจะมีหรือไม่มีไม่รู้ แต่ว่าในสำนวนมันไม่มี แล้วในหลายเรื่อง พยานก็ปฏิเสธด้วยว่าไม่มีการสั่งการ

แต่แน่นอนว่า การสั่งการหรือไม่มีการสั่งการ มันมองยาก ผมถึงบอกว่าถ้าจะมองประเด็นว่า ที่ทำๆ มันมีเหตุผลอธิบายได้ มันก็พอแล้ว ซึ่งทั้ง 5 เรื่องมันอธิบายได้ อย่างน้อยในทัศนะของผม ซึ่งไม่ได้มีประโยชน์ได้เสียอะไรด้วย ก็เห็นว่าอธิบายได้ แต่เอาล่ะ ถ้ามองว่าไม่มีเหตุผลอธิบายได้ จะต้องพรูฟต่อไปด้วยว่าเป็นการกระทำของเขา หรือเปล่า ซึ่งพรูฟได้มั๊ยล่ะ เราต้องพูดกันทางกฎหมายสิครับ นี่เป็นคดีขึ้นศาลนะ ไม่ใช่การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร

คือ ถ้าไม่อยากนั้น ทักษิณ จะกลายเป็นแก๊สโซฮอล์ อย่างที่มีการพูดกัน คือ เป็นทักษิณปุ๊ป ผิดเลย คือ ไม่ต้องรู้ว่าตกลง เขากระทำหรือไม่กระทำอะไร หรือคุณทักษิณ เป็นองอธิปัตย์ มีอำนาจล้นฟ้า คือ ต้องคิดแบบนั้นถึงจะเอาผิดได้ ซึ่งผมว่า ไม่ถึงขนาดนั้น (มั้ง) โอเค ผมก็ผ่านสมัยยุครัฐบาลทักษิณมา ผมเห็นด้วยว่าหลายส่วนก็มีอำนาจเยอะมาก แต่คงไม่ถึงขนาดสั่งทุกๆ อย่างได้ แล้วถ้ามันมีการทำอย่างนั้นจริงมันต้องปรากฏ แต่นี่เรากำลังพูดถึงเกณฑ์ทางกฎหมายที่จะเอาโทษเขา

@ อีกฝ่ายบอกว่าอาจารย์รับข้อมูลมาจาก เอไอเอส

ไม่ใช่ครับ ผมตอบได้เลยว่าไม่ใช่ นี่ก็เป็นวิธีทำลายหรือลดน้ำหนักเรื่องที่ผมพูดอีกวิธีหนึ่ง ง่ายดี ผมเล่าให้ฟังว่า มีคนสงสัยว่าทำไมผมรู้เรื่องกฎหมายโทรคมนาคมดี ไม่เคยเห็นผมพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย (หัวเราะ)

เรียนว่า ปลายปีที่แล้ว ผมกลับมาจากเยอรมัน มีการเถียงกันเรื่องอำนาจของ กทช. ในการออกใบอนุญาต 3 จี แล้วผมก็มีเพื่อนอยู่ที่ กทช. เขาก็ไม่มีนักกฏหมายมหาชนพูดเรื่องนี้เลย ไม่เห็นมีใครสนใจว่าเรื่องนี้เป็นยังไง ก็บอกให้ผมศึกษาและให้ความเห็นหน่อย อยากรู้ว่าผมมีความเห็นยังไง

ผมก็ศึกษา ต่อมาทางเนชั่นก็เชิญไปร่วมวงเสวนากับผู้บริหาร 3 ค่าย มี กทช. ท่านหนึ่ง และมีอาจารย์เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ท่านหนึ่งไปร่วมด้วย ช่วงเวลานั้นแหละที่ผมเข้าไปศึกษา จริงๆ ก่อนหน้านั้น ผมก็เคยศึกษากฎหมายโทรคมนาคมอยู่บ้างแต่ก็ไม่ต่อเนื่อง เพราะมีงานยุ่งเรื่องอื่น แต่พอมีกรณีนี้ผมก็กลับมาศึกษามากขึ้น

ในเดือนถัดมา มันก็เป็นประเด็นต่อเนื่อง พอเห็นผมพูดที่เนชั่นก็เข้าท่าเข้าทางดี กทช.ก็เลยขอให้คณะนิติศาสตร์จัดเสวนาเรื่อง 3 จี ทำให้ผมต้องดูภาพรวมทั้งหมด แล้วผมบอกได้ว่า ส่วนหนึ่งผมได้ข้อมูลจากเพื่อนผมที่กทช. อีกส่วนหนึ่งจากเพื่อนผมซึ่งอยู่ในวงการโทรคมนาคม เป็นเพื่อนคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็ให้ข้อมูลต่างๆ เอไอเอสเขาไม่เคยยุ่งกับผมเลย มีแต่หลังออกบทวิเคราะห์ไปแล้ว ที่มีเจ้าหน้าที่จากเอไอเอสท่านหนึ่งมาขอบทวิเคราะห์ ซึ่งผมก็ให้ไป เพราะเป็นของสาธารณะแล้ว ก็แค่นั้น แล้วผมก็รีเช็คข้อมูลครับ ไม่ได้ฟังคนเดียวแล้วผมเชื่อ แล้วก็ดูข้อกฏหมาย เอาสัญญามานั่งอ่านด้วย

 

มีคนบอกว่า ทำทำไม ทำแล้วได้อะไรหรือเปล่า คือผมไม่ได้อะไรสักสตางค์แดงเดียว ต้องนอนดึก ต้องถูกคนที่ชังคุณทักษิณด่าว่า แต่ที่ทำเพราะว่าผมมีความเห็นต่างจากศาลในคดีนี้ แล้วก็มีคนพูดให้ผมฟังหลายคนว่า ในเรื่องโทรคมนาคมมันมีความเข้าใจผิดกันในหลายเรื่อง แต่ผมก็คงไม่อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่เป็นคนศึกษา เป็นนักกฏหมายที่พอรู้เรื่องนี้อยู่

คือในรายละเอียดทางเทคนิคโทรคมนาคมที่ยุ่งยาก หรือเรื่องดาวเทียมที่ยุ่งยาก ผมก็คงไม่รู้หรอก แต่ในประเด็นทางกฎหมาย ผมศึกษาแล้ว เข้าใจพอสมควร คิดว่าอธิบายได้

อีกประเด็นหนึ่งเรื่องความเชื่อ ที่อาจารย์สมเกียรติอาจจะเข้าใจประเด็นนี้ผิด ซึ่งอาจเป็นความผิดของผมเองที่พูดไม่ชัดเจน คือ ผมกำลังจะบอกว่า จะตัดสินเรื่องใดสักเรื่องหนึ่ง เราต้องให้มันอยู่ในบรรยากาศที่ ให้ศาลได้ทำงาน ได้ตัดสิน สังคมไม่ควรไปตัดสินไว้ล่วงหน้าก่อน คือสังคมใช้ความเชื่อของตนเองตัดสินไปแล้วก่อนศาลตัดสิน

ถ้ามองดูย้อนบรรยากาศกลับไปก่อนคดียึดทรัพย์ เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย คือมีการพูดแทบจะข้างเดียวในสื่อกระแสหลัก มีการเขียนบทความต่างๆ ซึ่งบางส่วนออกมาในช่วงที่ศาลกำลังจะตัดสินคดีด้วย บางส่วนก็ออกมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร จำได้ไหมมีอยู่ช่วงหนึ่ง มีรายการทีวี ให้ คตส. ออกมาพูดข้างเดียว

ผมต่างหาก ไม่เคยพูดอะไรในช่วงเวลาก่อนศาลตัดสินในคดีเหล่านี้เลย เพราะผมคิดว่า ถ้าอยากให้กระบวนการยุติธรรมทำงาน ก็ปล่อยให้ศาลท่านทำงาน เป็นคติของผมว่าโดยหลักแล้ว ผมจะไม่พูดอะไร ก่อนที่จะมีคำพิพากษาออกมา ช่วงก่อนศาลตัดสินก็มีสื่อบางฉบับขอสัมภาษณ์ ผมก็ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ แม้ศาลตัดสินแล้ว แต่ผมยังไม่ได้ศึกษาคำพิพากษาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ก็ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ เพราะเรื่องนี้ซับซ้อน ต้องอ่าน ต้องทำความเข้าใจ แล้วเมื่อจะต้องให้ความเห็น ก็จะเห็นว่าผมและเพื่อนก็เขียนบทวิเคราะห์อย่างเปิดเผยแสดงต่อสาธารณะ แต่ถามว่าสังคมนี้ได้ปล่อยให้ระบบมันได้ทำงานแบบนั้นมั๊ย

 

บางท่านที่เป็นนักวิชาการชี้ไปแล้ว ปลุกปั่นไปแล้ว และทำให้สังคมเชื่อไปแล้ว แล้วก็ไม่แยกแยะเรื่องด้วย บางคนก็ไม่ได้ศึกษาเรื่องราวอย่างจริงจัง คิดเอง รู้สึกเอง อนุมานเอง แล้วนำสังคมไป นี่คือ ความเชื่อที่ผมบอก คือเชื่อไปแล้วว่าผิด พอเชื่อไปแล้ว ก็ไม่ต้องดูแล้วว่าเหตุและผลเป็นยังไง ผมเรียนว่า คุณทักษิณจะกระทำการอย่างอื่นใด เอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองหรือเปล่าผมไม่ทราบ ผมไปตัดสินไม่ได้

แต่เท่าที่ปรากฏในคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญา 5 กรณีที่ คตส. กล่าวหา ในทางกฎหมาย ผมเห็นว่าไม่มี อื่นๆ ที่ไม่อยู่ในคำพิพากษานี้ ผมไม่ทราบ ไม่ยืนยัน แล้วที่ทำตรงนี้มา ไม่ได้แย้งอะไรให้กับคุณทักษิณเลย ผมและเพื่อนๆในกลุ่มห้าอาจารย์แค่วิจารณ์ วิเคราะห์ คำพิพากษาของศาล ซึ่งผมถือว่าเป็นภารกิจสำคัญอันหนึ่งของนักนิติศาสตร์ แต่ถ้ามันจะเป็นประโยชน์กับคุณทักษิณบ้าง นั่นก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่จำเป็นที่ผมจะต้องหลีกเลี่ยง เพราะถ้าหลีกเลี่ยงก็ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์อะไร

ฉะนั้น เวลาพูดถึงเรื่องความเชื่อ ผมหมายถึงความเชื่อในเซ้นส์นี้ครับ ตอนนี้เราอาจจะรู้สึกว่ามันดีสิ เพราะยึดทรัพย์ได้ แต่ผมถามว่า คุณค่าของสังคมระยะยาว มันเป็นยังไง อันนี้ไม่ได้พูดเกี่ยวอะไรกับศาลนะ แต่พูดถึงสภาพสังคม

มีคนออกมาบอก ก่อนวันตัดสินคดีว่า จะมีผู้พิพากษา 4 คน ตัดสินยกคำร้อง มีการให้สินบนหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมถามว่าสังคมปล่อยให้เป็นอย่างนี้ได้ยังไง ถ้าผมเป็นผู้พิพากษาในคดี แล้วผมเห็นโดยมโนธรรมสำนึกของผม โดยหลักวิชาชีพของผม ว่า 5 กรณีนี้ มันไม่ผิด ผมจะกล้ามั๊ย ถ้าเกิดว่า มันมีการพูดออกมาอย่างนี้แล้ว ทำไมเราปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ นี่คือการกดดันศาลอย่างน่าละอายที่สุด

ฉะนั้น ผมคิดว่าสิ่งที่อาจารย์สมเกียรติ หรือคุณประสงค์ (เลิศรัตนวิสุทธิ์) โต้แย้งผม ในเนื้อหา เป็นการโต้แย้งกันด้วยเหตุผล ด้วยสติปัญญา ซึ่งเห็นไม่ตรงกันก็มานั่งเถียงกันแบบนี้แหละ แล้วก็ไม่ได้โกรธอะไรกัน

บางทีก็อาจจะแรงในการเขียนหรือการสัมภาษณ์ ซึ่งพอเข้าใจได้ แต่เถียงกันในทางเนื้อหา มันดีกว่ามาป้ายว่าผมเป็นพวกคุณทักษิณ อย่างนี้ผมรู้สึกว่าไม่ได้ใช้สติปัญญาอะไรเลย ก็ว่าไปเถอะ ผมไม่ใส่ใจเลย แต่ถ้าอธิบายกันในทางเนื้อหาอย่างนี้ ผมชอบ(ครับ) เพราะเราได้คิด ได้เห็นความเห็นเราว่าตรงไหนยังอ่อน ตรงไหนความเห็นเขาดี เขาถูก ตรงไหนเราคิดว่าเราดีกว่า

ถ้าสังคมเถียงกันอย่างนี้ได้ ผมไม่เคยกลัวเลย ถ้าเหตุผลผมผิด ผมก็ยอมรับว่าผมผิด แต่ถ้าเราคิดมาดีแล้วว่ามีเหตุมีผล ก็ต้องเคารพตัวเอง และต้องกล้าที่จะยืนยันสิ่งที่ตัวเองคิดโดยสัตย์ซื่อกับจรรยาบรรณในวิชาชีพของตัว ก่อนที่ผมจะออกบทวิเคราะห์หรือแถลงการณ์ผมและเพื่อนๆไตร่ตรองละเอียดพอสมควร อันนี้ไม่ใช่ว่าผมถูกอยู่คนเดียวนะ ผมยอมรับได้เลยว่าไม่ได้คิดแบบนั้น ใครจะหักล้างก็ได้ได้ แต่ต้องมีเหตุผล

แล้วจริงๆ ผมชื่นชมอาจารย์สมเกียรติ ที่ท่านศึกษากฎหมายด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านมีเวลาศึกษากฎหมายในระบบก็จะดี เพราะเรื่องบางเรื่องมันไม่ง่ายเหมือนที่คิด ประเด็นเรื่องการตีความกฎหมาย หรือการทำความเข้าใจเรื่องวัตถุประสงค์กฎหมาย อย่างที่ผมบอก ไปอ่านจากหมายเหตุท้ายกฎหมายไม่ได้ มันมีหลักการตีความกฎหมายว่าจะต้องดูอะไรบ้าง เพื่อให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ตัวกฎหมาย ส่วนในเรื่องของการคำนวณความเสียหายนั้น ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นจริง นักกฎหมายและผู้พิพากษาย่อมสามารถคำนวณได้อยู่แล้ว วงการกฎหมายคงไม่ถึงขนาดแห้งแล้งสติปัญญาในเรื่องนี้ แต่ปัญหาของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ว่ามันมีความเสียหายจริงหรือไม่ต่างหาก

ผมว่า เราคิดต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นมิตรกันไม่ได้ ( ครับ ) ยังคุยหัวเราะกันได้ แต่หลักวิชาที่ถูกต้องก็จะต้องรักษาไว้ นี่ขอพูดถึงคุณประสงค์ด้วยครับ คุณประสงค์ให้เกียรติผม ในการเขียนบทความ แล้วผมก็ให้เกียรติคุณประสงค์ เขียนตอบประเด็นที่ค้างคาใจ ถ้าเป็นเรื่องที่ผมเห็นว่าไม่ควรตอบ หรือไม่มีสาระพอที่จะตอบ ผมจะไม่เขียนเลย หรืออย่างของอาจารย์สมเกียรติ ผมให้เกียรติท่าน และท่านก็ให้เกียรติผม ที่ออกมาวิพากษ์กัน ที่เหลือเป็นสิ่งที่คนอ่านจะต้องตรึกตรองเอาเองว่าใครถูกผิดอย่างไร

ประชาชาติธุรกิจ, 11 สิงหาคม 2553

นักเรียน ม.5 เชียงรายถือป้าย”เห็นคนตาย”บอกผมไม่ได้บ้า”ถูกสถานพินิจส่งตัวเข้า”บำบัด”หลังพบนักจิตวิทยา

3 August 2010 Leave a comment

นักเรียน ม.5 เชียงรายถือป้าย"เห็นคนตาย"บอกผมไม่ได้บ้า"ถูกสถานพินิจส่งตัวเข้า"บำบัด"หลังพบนักจิตวิทยา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม นักเรียน ม.5 อายุ 16 ปี ที่ร่วมกิจกรรมชูป้าย "ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์" ที่เชียงราย มีจดหมายให้เข้าพบเจ้าหน้าที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จ.เชียงราย เพื่อบำบัดในวันที่ 16-17 พ.ค. หลังจากเข้าพบนักจิตวิทยาเพื่อตรวจสุขภาพจิต โดยการให้นักเรียนชั้นม. 5 ทำแบบทดสอบ เชาว์ปัญญา แบบทดสอบการปรับตัว และแบบทดสอบบุคลิกภาพ และสัมภาษณ์ รวมทั้งได้เชิญมารดาของนักเรียนม.5 ไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่จะปล่อยตัว

นักเรียน ม. 5 ให้สัมภาษณ์ว่า ใช้เวลาทำแบบทดสอบประมาณ 2 ชั่วโมงจากนั้นมีเจ้าหน้าที่เข้ามาสัมภาษณ์; 20 นาที เกี่ยวกับเรื่องคดีความ ถามประวัตินิดหน่อย โดยที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้อ่านแบบสอบถามแต่อย่างใด ได้ยื่นหนังสือให้เข้ารับกิจกรรมบำบัด

"ผมว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องบำบัดเพราะผมไม่ได้บ้าไม่ได้เป็นอะไร แต่ในเมื่อทุกอย่างเป็นกระบวนการก็ยินดีจะให้ความร่วมมือแม้ผมจะกลัวเสียประวัติแต่ก็ทำอะไรไม่ได้และยืนยันว่าผมไม่ผิด" นักเรียน ม. 5 กล่าว

หนังสือทางราชการมีตราครุฑประทับของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงราย ระบุว่า

เรื่องส่งตัวเด็กและเยาวชนพบเจ้าหน้าที่

เรียนผู้ปกครองเด็กและเยาวชน

ตามที่ท่านได้ประกันตัว/แจ้งดำเนินคดี ได้รับตัวเด็กและเยาวชน ชื่อ ….. ไปเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 53 ขอให้นำเด็กและเยาวชนไปพบเจ้าหน้าที่ ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงราย 226 หมู่ 4 ตำบลริมกก อำเภอเมือง จ.เชียงราย ในวันที่ 16-17 สิงหาคม 53 เวลา 09.00-16.00 น. เพื่อเข้ารับกิจกรรมบำบัดแบบไปเช้าเย็นกลับ จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ

ลงชื่อ นางสาวปิยดา ขัตติยะ นักจิตวิทยาคลินิกปฏิบัติการ

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2553 มีหนังสือ เรื่องพบพนักงานคุมความประพฤติ เพื่อให้ถ้อยคำ ขอให้นำนาย….ไปพบพนักงานคุมประพฤติที่ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ที่ 226 หมู 4 ตำบลริมกก; อำเภอเมือง จ.เชียงราย ในวันที่ 2 ส.ค. 2553 เวลา 09.00 น. เพื่อตรวจจิตวิทยา

ผู้ปกครองของนักเรียนม.5รายนี้ รู้สึกเป็นห่วงว่าหากลูกถูกส่งเข้าบำบัดอาจจะทำให้เสียประวัติได้ เหมือนกับเป็นการผลักให้เด็กมีปัญหาทางจิตโดยไม่คำนึงถึงอนาคตว่าเด็กจะเป็นอย่างไรหากถูกสอบประวัติว่าต้องเข้าบำบัดทางจิตเพียงเพราะไปแสดงความเห็นทางการเมืองแค่ชูป้ายก็ต้องกลายเป็นคนมีปัญหาทางจิต

น.ส.สุมาลี ญาณภาพ ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก จ.เชียงราย กล่าวว่าเด็กทุกคนที่เข้าสู่กระบวนการของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเด็กจะได้รับการดูแลในมาตรฐานเหมือนกันหมด โดยมีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาล คอยช่วยเหลือเรื่องต่างๆ กรณีของนักเรียน ม.5 หลังจากตำรวจได้ส่งตัวมาก็ได้มีการดำเนินการใน 5 ขั้นตอนคือ การสอบถามประวัติส่วนตัว ครอบครัว นิสัยและความประพฤติ การศึกษา และพฤติกรรมแห่งคดี เสร็จเรียบร้อยไปหมดแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายนี้คือการตรวจสอบด้านจิตวิทยา แต่ไม่มีการกักตัวเพราะคดีนี้เด็กไม่ได้ถูกจับกุมมาตั้งแต่ต้น แต่ถูกหมายเรียกและเขาก็ไปรายงานตัวกับพนักงานสอบสวนโดยดี สำหรับขั้นตอนต่อไปคือสถานพินิจและคุ้มครองเด็กก็จะสรุปข้อมูลทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายใน 30-90 วัน เพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนในลำดับต่อไป

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 ก.ค. เป็นวันที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จ.เชียงราย นัดหมายให้นักเรียนชั้น ม.5 เข้ารายงานตัวเพื่อตรวจสุขภาพและส่งเข้าตรวจสุขภาพจิต ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมวอยซ์ทีวี ได้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ นักเรียนชั้น ม.5; กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ในการรายงานตัว เป็นการรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่สถานพินิจ มีการสอบถามเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวทางบ้าน พ่อแม่ทำงานได้เงินเท่าไหร่ ตนเคยถูกจับคดีอาญาหรือไม่ กินเหล้าหรือไม่ สูบบุหรี่หรือไม่ (มีพฤติกรรม)แต่งรถหรือเปล่า ฐานะทางบ้านเป็นอย่างไร มีเพื่อนสนิทเยอะหรือไม่ เที่ยวกลางคืนหรือเปล่า มีการถามถึงวัตถุประสงค์ในการเข้าร่วมกิจกรรมเมื่อ 16 ก.ค. และเจ้าหน้าที่สถานพินิจแนะนำให้รับสารภาพเพื่อให้ศาลเมตตา

นักเรียนชั้นม.5 ยอมรับไปถือป้ายจริง แต่ไม่ได้ทำผิดตามข้อกล่าวหาว่าชุมนุมและมั่วสุมเกิน 5 คน และไม่ได้สร้างความวุ่นวาย

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา กลุ่มนักเรียนนักศึกษา 5 คน ใน จ.เชียงราย ได้รวมตัวทำกิจกรรมชูป้ายให้มีการยกเลิกการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ที่บริเวณหน้าทางเข้าศาลากลาง จ.เชียงราย ที่หอนาฬิกา และที่หน้าตลาดสดเทศบาล 1 เทศบาลนครเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เมือง จ.เชียงราย ได้ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือ ชุมนุมหรือมั่วสุมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยง ให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ประกาศกำหนด ร่วมกันเสนอข่าว ทำให้แพร่หลายซึ่งสิ่งพิมพ์หรือสิ่งอื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน;

ที่สถานตำรวจภูธรเมือง จ.เชียงราย นายธนิต บุญญนสนีเกษม แกนนำกลุ่มพลังมวลชนเชียงราย พร้อมด้วย นายกิตติพงษ์ นาตะเกศ อายุ 24 ปี และนายนิติเมธพนฎ์ อายุ 23 ปีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรช.) ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน เข้ารายงานตัวกับ พ.ต.ท.บัญญัติ ทำทอง รักษาการรอง ผกก.สภ.เมืองเชียงราย ก่อนที่จะปล่อยตัวไปโดยไม่มีแจ้งข้อหาหรือสอบปากคำเพิ่มเติม

พ.ต.ท.บัญญัติ กล่าวว่าการเรียกพบครั้งนี้เป็นการรายงานตัวตามปกติหลังแจ้งข้อหาดำเนินคดี ครบ 12 วัน เพื่อทราบว่าผู้ต้องหายังอยู่ในพื้นที่หรือไม่ โดยขณะนี้ได้สอบปากคำผู้ต้องหาครบหมดแล้ว เหลือเพียงรอหลักฐานการตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊คของผู้ต้องหาที่อ้างว่าใช้ในการติดต่อกันก่อนทำกิจกรรมทางการเมือง จากกองพิสูจน์หลักฐานเท่านั้นก็จะมีการส่งฟ้องได้ในเร็ว ๆนี้

ด้านนายธนิต กล่าวว่า การดำเนินการของทางตำรวจยังมีความไม่ชัดเจนในหลายด้าน ทั้งข้อกล่าวหาและวิธีการดำเนินการ ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะออกมาในรูปแบบไหน แต่อยากให้ความเป็นกับกลุ่มเด็ก ๆ โดยเฉพาะการคืนคอมพิวเตอร์ของกลางคืนเพราะต้องใช้งาน ขณะนี้ประชาชนในพื้นที่เริ่มแสดงความเป็นห่วงและอาจจะจัดกิจกรรมติดโปว์สีแดงรอบเมืองในเร็ว ๆนี้ได้

มติชนออนไลน์ 03 สิงหาคม 2553

Categories: News and politics

ผมเห็น”เด็ก”กำลังจะตาย.เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงราย

3 August 2010 Leave a comment

ผมเห็น”เด็ก”กำลังจะตาย.เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงราย

โดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ

ไม่มีความอัปยศอดสูใดใดในการบังคับใช้กฎหมายในช่วงชีวิตของผมที่ได้เห็นการตั้งข้อหากับเยาวชนและเด็กที่แสดงออกทางการเมืองที่มีรัฐธรรมนูญรองรับด้วยข้อหาฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินฯกับนายธนิต บุญญนสินีเกษม แกนนำกลุ่มพลังมวลชนเชียงราย นายกิตติพงษ์ นาตะเกศ อายุ 24 ปี และนายนิติ เมธพนฎ์ อายุ 23 ปี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏ นายเอกพันธ์ ทาบรรหาร อายุ 19 ปี นายสาทิตย์ เสนสกุล อายุ 19 ปี จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเด็กอายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย

ในชั้นแรก ศอฉ. แถลงว่าการจับน.ร.-น.ศ.ทั้ง 5 คนเนื่องจากมีความผิดพ.ร.บ.การจราจรฯ แต่ความจริงแล้วตามบันทึกแจ้งข้อหาของ สภ.เมืองเชียงราย ระบุไว้ชัดเจนว่าถูกจับเนื่องจากฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตามมาตรา 9 (1) และ (2) คือ ห้ามไม่ให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หรือกระทำการใดเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และ ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือการทำให้แพร่หลาย ซึ่งหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักร ทั้งที่ข้อความที่นักเรียนและนักศึกษาทั้ง 5 คนถือไม่ได้มีข้อความใดเลยที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าวเลย

ข้อความที่ว่า คือ ‘ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์’ ‘นายกครับอย่าเลิก พรก.ฉุกเฉินนะครับ ไม่งั้นรัฐบาลจะพัง’ และ ‘พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องคงไว้เพื่อไม่ให้ความจริงปรากฏ’ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ถึงแม้ไม่ได้เรียนกฎบัตรกฎหมายมาเลยก็ย่อมที่จะรู้ว่าหามีความผิดตามกฎหมายใดใดไม่แม้แต่ พรก.ฉุกเฉินฉบับนี้ที่ให้อำนาจล้นฟ้าแก่เจ้าหน้าที่เองก็ตาม มิหนำซ้ำเจ้าหน้าที่ยังส่งตัวนักเรียนชายผู้นั้นไปยังสถานพินิจฯเสียอีกแต่สถานพินิจฯให้เด็กชายผู้นั้นไปพบพนักงานคุมประพฤติเซ็นต์ชื่อแล้วแจ้งว่าในวันที่ 30 ก.ค.53 ให้เด็กชายผู้นั้นกลับไปยังสถานพินิจอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากการใช้อำนาจที่เกินเลยในการตั้งข้อหาแก่เด็กและเยาวชนดังกล่าวนี้แล้ว ยังมีการคุกคาม ผู้ถูกกล่าวหาด้วยการเข้าไปถ่ายภาพและยึดโน๊ตบุ๊กของเด็กชายผู้นั้นไปอีกและจากรายงานข่าวของข่าวสดออนไลน์ประจำวันที่ 25 ก.ค.53 รายงานข่าวจากคณะทำงานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีความพยายามจากนายทหารยศพันตรี สังกัดจังหวัดทหารบกเชียงราย ไปติดต่อเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งในเชียงรายให้ไปกล่อมนักเรียนและนักศึกษาทั้ง 5 คนให้สารภาพว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดถูกว่าจ้างจากนายธนิต แกนนำกลุ่มพลังมวลชนเชียงราย แล้วจะช่วยให้ทั้ง 5 คนพ้นข้อกล่าวหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่น.ร.-น.ศ.กลุ่มนี้บอกปฏิเสธไป เนื่องจากไม่เป็นความจริง

การดำเนินคดีกับเด็กนักเรียนและนักศึกษากลุ่มนี้เป็นการบ้าจี้หรือเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ที่พยายามที่จะยัดเยียดความผิดให้กับเด็กเพื่อที่จะสร้างผลงานโดยไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม โดยใช้วิธีข่มขู่ให้เด็กและผู้ปกครองกลัวในสารพัดวิธีแทนที่จะปฏิบัติต่อเด็กซึ่งเป็นผู้เยาว์ด้วยเมตตาธรรม

จากประสบการณ์ในชีวิตของผมที่ล่วงพ้นวัยกึ่งศตวรรษมาหลายปียังไม่เคยพบเห็นการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเช่นในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่อยู่ในภาวะของการปฏิวัติรัฐประหารก็ตามก็ยังไม่เคยมีการตั้งข้อหาแก่เด็กนักเรียนที่ถือป้ายแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในผืนแผ่นดินที่ผู้ปกครองของรัฐได้แต่พร่ำบอกว่าปกครองบ้านเมืองด้วยนิติรัฐเช่นนี้

คำว่านิติรัฐนั้นความหมายโดยย่นย่อคือการปกครองด้วยกฎหมาย แต่ในความหมายที่แท้จริงคือการปกครองด้วยหลักกฎหมาย เพราะถ้าไม่ยึดถือหลักกฎหมายแล้วคณะปฏิวัติรัฐประหารที่เป็นเผด็จการทั้งหลายก็ออกกฎหมายมาบังคับใช้เอากับราษฎรเช่นกัน หลักกฎหมายที่ใช้กับหลักนิติรัฐที่ว่าว่านี้ก็คือการกระทำใดใดของฝ่ายบริหารต้องชอบด้วยกฎหมายที่อออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติและทั้งการกระทำใดใดของฝ่ายบริหารและการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติต้องไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือการจำกัดอำนาจของฝ่ายบริหารไม่ให้ใช้เกินกว่าขอบเขตความจำเป็นนั่นเอง

การใช้อำนาจตาม พรก.ฉุกเฉินฯของรัฐบาลชุดนี้ไม่ว่าจะเป็นการปิดสื่อ อายัดธุรกรรมทางการเงิน จับบุคคลไปคุมขังหรือเรียกบุคคลที่แสดงออกทางการเมืองไปชี้แจงนั้นขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้งเพราะจำกัดสิทธิและเสรีภาพเกินกว่าเหตุตามมาตรา 29 และยังขัดต่อมาตรา 27 ที่คณะรัฐมนตรีต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นหลักอยู่เสมอ

ป่วยการที่แกนนำของรัฐบาลตลอดจนรองเลขา ครม.ที่พร่ำบอกอยู่เสมอว่าการบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉินฯนี้สุจริตชนไม่เดือดร้อน ตัวอย่างนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่สุจริตชนได้รับความเดือดร้อนเพราะเหตุไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้ เพราะเสรีภาพนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด และเสรีภาพนั้นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่มนุษย์จะยอมสูญเสียก่อนชีวิตของตนเองจะสูญเสียไป

อันที่จริงแล้วการเรียกร้องให้ยกเลิกการบังคับใช้หรือการประกาศสถานการณ์ตาม พรก.ฉุกเฉินฯนั้นยังไม่เพียงพอต่อความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพเสรีภาพของบุคคลด้วยซ้ำไป ในระยะยาวแล้วตัว พรก.ฉุกเฉินฯเองก็มีปัญหาตั้งแต่เริ่มร่างกฎหมายตั้งแต่แรกแล้ว ดังจะเห็นได้จากการต่อต้านจากหลายๆองค์กร จนมหาวิทยาลัยเที่ยงถึงกับทำการเผาร่างกฎหมายฉบับนี้จนเป็นข่าวเกรียวกราวมาแล้ว

 

หลายคนกังวลว่าหากเลิก พรก.ฉุกเฉินฯไปแล้วจะเอากฎหมายอะไรมาใช้ ผมเห็นว่าปกติกฎหมายธรรมดาก็เพียงพออยู่แล้ว หากเห็นว่ากฎหมายธรรมดาไม่เพียงพอก็ยังกฎหมายอีกสองฉบับที่มีอานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า พรก.ฉุกเฉินฯมากนักก็คือ พรบ.กฏอัยการศึกฯและ พรบ.ความมั่นคงฯนั่นเองเพียงแต่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเป็นฝ่ายทหารและกอ.รมน.เท่านั้นเอง(ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่นายกฯฝ่ายพลเรือนและตำรวจไม่ถูกใจนัก)

หากยังขืนคง พรก.ฉุกเฉินฯต่อไปอีก ผมว่าหมอฟันคงต้องตกงานหรือปิดคลินิกกันเป็นระนาวแน่ เพราะแค่นี้ประชาชนคนไทยก็อ้าปากกันไม่ค่อยได้อยู่แล้วครับ

มติชนออนไลน์ 02 สิงหาคม 2553