Archive

Posts Tagged ‘พ.ร.ก.ฉุกเฉิน’

ผมเห็น”เด็ก”กำลังจะตาย.เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงราย

3 August 2010 Leave a comment

ผมเห็น”เด็ก”กำลังจะตาย.เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงราย

โดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ

ไม่มีความอัปยศอดสูใดใดในการบังคับใช้กฎหมายในช่วงชีวิตของผมที่ได้เห็นการตั้งข้อหากับเยาวชนและเด็กที่แสดงออกทางการเมืองที่มีรัฐธรรมนูญรองรับด้วยข้อหาฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินฯกับนายธนิต บุญญนสินีเกษม แกนนำกลุ่มพลังมวลชนเชียงราย นายกิตติพงษ์ นาตะเกศ อายุ 24 ปี และนายนิติ เมธพนฎ์ อายุ 23 ปี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏ นายเอกพันธ์ ทาบรรหาร อายุ 19 ปี นายสาทิตย์ เสนสกุล อายุ 19 ปี จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเด็กอายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย

ในชั้นแรก ศอฉ. แถลงว่าการจับน.ร.-น.ศ.ทั้ง 5 คนเนื่องจากมีความผิดพ.ร.บ.การจราจรฯ แต่ความจริงแล้วตามบันทึกแจ้งข้อหาของ สภ.เมืองเชียงราย ระบุไว้ชัดเจนว่าถูกจับเนื่องจากฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตามมาตรา 9 (1) และ (2) คือ ห้ามไม่ให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หรือกระทำการใดเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และ ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือการทำให้แพร่หลาย ซึ่งหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักร ทั้งที่ข้อความที่นักเรียนและนักศึกษาทั้ง 5 คนถือไม่ได้มีข้อความใดเลยที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าวเลย

ข้อความที่ว่า คือ ‘ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์’ ‘นายกครับอย่าเลิก พรก.ฉุกเฉินนะครับ ไม่งั้นรัฐบาลจะพัง’ และ ‘พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องคงไว้เพื่อไม่ให้ความจริงปรากฏ’ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ถึงแม้ไม่ได้เรียนกฎบัตรกฎหมายมาเลยก็ย่อมที่จะรู้ว่าหามีความผิดตามกฎหมายใดใดไม่แม้แต่ พรก.ฉุกเฉินฉบับนี้ที่ให้อำนาจล้นฟ้าแก่เจ้าหน้าที่เองก็ตาม มิหนำซ้ำเจ้าหน้าที่ยังส่งตัวนักเรียนชายผู้นั้นไปยังสถานพินิจฯเสียอีกแต่สถานพินิจฯให้เด็กชายผู้นั้นไปพบพนักงานคุมประพฤติเซ็นต์ชื่อแล้วแจ้งว่าในวันที่ 30 ก.ค.53 ให้เด็กชายผู้นั้นกลับไปยังสถานพินิจอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากการใช้อำนาจที่เกินเลยในการตั้งข้อหาแก่เด็กและเยาวชนดังกล่าวนี้แล้ว ยังมีการคุกคาม ผู้ถูกกล่าวหาด้วยการเข้าไปถ่ายภาพและยึดโน๊ตบุ๊กของเด็กชายผู้นั้นไปอีกและจากรายงานข่าวของข่าวสดออนไลน์ประจำวันที่ 25 ก.ค.53 รายงานข่าวจากคณะทำงานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีความพยายามจากนายทหารยศพันตรี สังกัดจังหวัดทหารบกเชียงราย ไปติดต่อเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งในเชียงรายให้ไปกล่อมนักเรียนและนักศึกษาทั้ง 5 คนให้สารภาพว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดถูกว่าจ้างจากนายธนิต แกนนำกลุ่มพลังมวลชนเชียงราย แล้วจะช่วยให้ทั้ง 5 คนพ้นข้อกล่าวหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่น.ร.-น.ศ.กลุ่มนี้บอกปฏิเสธไป เนื่องจากไม่เป็นความจริง

การดำเนินคดีกับเด็กนักเรียนและนักศึกษากลุ่มนี้เป็นการบ้าจี้หรือเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ที่พยายามที่จะยัดเยียดความผิดให้กับเด็กเพื่อที่จะสร้างผลงานโดยไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม โดยใช้วิธีข่มขู่ให้เด็กและผู้ปกครองกลัวในสารพัดวิธีแทนที่จะปฏิบัติต่อเด็กซึ่งเป็นผู้เยาว์ด้วยเมตตาธรรม

จากประสบการณ์ในชีวิตของผมที่ล่วงพ้นวัยกึ่งศตวรรษมาหลายปียังไม่เคยพบเห็นการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเช่นในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่อยู่ในภาวะของการปฏิวัติรัฐประหารก็ตามก็ยังไม่เคยมีการตั้งข้อหาแก่เด็กนักเรียนที่ถือป้ายแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในผืนแผ่นดินที่ผู้ปกครองของรัฐได้แต่พร่ำบอกว่าปกครองบ้านเมืองด้วยนิติรัฐเช่นนี้

คำว่านิติรัฐนั้นความหมายโดยย่นย่อคือการปกครองด้วยกฎหมาย แต่ในความหมายที่แท้จริงคือการปกครองด้วยหลักกฎหมาย เพราะถ้าไม่ยึดถือหลักกฎหมายแล้วคณะปฏิวัติรัฐประหารที่เป็นเผด็จการทั้งหลายก็ออกกฎหมายมาบังคับใช้เอากับราษฎรเช่นกัน หลักกฎหมายที่ใช้กับหลักนิติรัฐที่ว่าว่านี้ก็คือการกระทำใดใดของฝ่ายบริหารต้องชอบด้วยกฎหมายที่อออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติและทั้งการกระทำใดใดของฝ่ายบริหารและการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติต้องไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือการจำกัดอำนาจของฝ่ายบริหารไม่ให้ใช้เกินกว่าขอบเขตความจำเป็นนั่นเอง

การใช้อำนาจตาม พรก.ฉุกเฉินฯของรัฐบาลชุดนี้ไม่ว่าจะเป็นการปิดสื่อ อายัดธุรกรรมทางการเงิน จับบุคคลไปคุมขังหรือเรียกบุคคลที่แสดงออกทางการเมืองไปชี้แจงนั้นขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้งเพราะจำกัดสิทธิและเสรีภาพเกินกว่าเหตุตามมาตรา 29 และยังขัดต่อมาตรา 27 ที่คณะรัฐมนตรีต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นหลักอยู่เสมอ

ป่วยการที่แกนนำของรัฐบาลตลอดจนรองเลขา ครม.ที่พร่ำบอกอยู่เสมอว่าการบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉินฯนี้สุจริตชนไม่เดือดร้อน ตัวอย่างนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่สุจริตชนได้รับความเดือดร้อนเพราะเหตุไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้ เพราะเสรีภาพนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด และเสรีภาพนั้นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่มนุษย์จะยอมสูญเสียก่อนชีวิตของตนเองจะสูญเสียไป

อันที่จริงแล้วการเรียกร้องให้ยกเลิกการบังคับใช้หรือการประกาศสถานการณ์ตาม พรก.ฉุกเฉินฯนั้นยังไม่เพียงพอต่อความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพเสรีภาพของบุคคลด้วยซ้ำไป ในระยะยาวแล้วตัว พรก.ฉุกเฉินฯเองก็มีปัญหาตั้งแต่เริ่มร่างกฎหมายตั้งแต่แรกแล้ว ดังจะเห็นได้จากการต่อต้านจากหลายๆองค์กร จนมหาวิทยาลัยเที่ยงถึงกับทำการเผาร่างกฎหมายฉบับนี้จนเป็นข่าวเกรียวกราวมาแล้ว

 

หลายคนกังวลว่าหากเลิก พรก.ฉุกเฉินฯไปแล้วจะเอากฎหมายอะไรมาใช้ ผมเห็นว่าปกติกฎหมายธรรมดาก็เพียงพออยู่แล้ว หากเห็นว่ากฎหมายธรรมดาไม่เพียงพอก็ยังกฎหมายอีกสองฉบับที่มีอานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า พรก.ฉุกเฉินฯมากนักก็คือ พรบ.กฏอัยการศึกฯและ พรบ.ความมั่นคงฯนั่นเองเพียงแต่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเป็นฝ่ายทหารและกอ.รมน.เท่านั้นเอง(ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่นายกฯฝ่ายพลเรือนและตำรวจไม่ถูกใจนัก)

หากยังขืนคง พรก.ฉุกเฉินฯต่อไปอีก ผมว่าหมอฟันคงต้องตกงานหรือปิดคลินิกกันเป็นระนาวแน่ เพราะแค่นี้ประชาชนคนไทยก็อ้าปากกันไม่ค่อยได้อยู่แล้วครับ

มติชนออนไลน์ 02 สิงหาคม 2553

“สันติวิธี ดราม่าโมเดล” – คำ ผกา

24 March 2010 Leave a comment

“สันติวิธี ดราม่าโมเดล” – คำ ผกา

มติชน สุดสัปดาห์, 19 มีนาคม 2553

ฉันชอบเฟซบุ๊คเพราะมันเปิดโอกาศให้ฉันได้ “โพสต์” สิ่งที่อยู่ในใจแล้วแชร์กับเพื่อน โดยที่เพื่อนก็เลือกได้ว่าจะสน ใจหรือไม่สนใจต่อโพสต์ของเรา การที่เพื่อนเลือกได้ทำให้เรา มีอิสระที่จะโพสต์สิ่งที่อาจ ไร้สาระ หรือ เรื่องที่ไม่น่าสนใจ แต่บังเอิญมันติดค้างในใจเราและอยากระบายโดยไม่ต้องเกรงใจว่า เอ๊ะ จะไปรบกวนใครรึเปล่า

ล่าสุดฉันโำพสต์ว่า “สันติวิธีเหมือน”ถุงผ้า”ใครๆก็หิ้ว”

คำว่าสันติวิธีก็คงเหมือนกับอีกหลายๆคำถูกทำให้กลายเป็น “ไทย” และถูกทำให้เป็นคำยอดนิยม ถูกพูดกันปากต่อปากไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีใครสนใจว่าความหมาย ดั้งเดิมของมันคืออะไร หรือความหมายในฐานะที่เป็นความคิดทางการเมืองของมันที่เกิดขึ้นในแต่ละบริบท จำเพาะของมันคืออะไร (เช่นตัวฉันเองก็ไม่รู้เช่นกัน)

ช่วงอาทิตย์ที่มีการ “ยาตราทัพ” เข้ากรุงของคนเสื้อแดง คำว่า สันติวิธี ก็เข้ามาครอบครองพื้นที่ในบทสนทนา ทั้งในชีวิตประจำวันของเรา ทั้งในหลายๆเวทีสัมมนา และในพื้นที่ของสื่อ

มันอาจเป็นอคติของฉันเองที่รู้สึกว่าไม่มีครั้งไหนที่ในการเนอข่าวของสื่อจะ สะท้อนให้เห็นความหวาดกลัวของ” คนกรุง” มากขนาดนี้มาก่อน

ยังไม่นับฟอร์เวิร์ดเมลล์ที่เรียกร้องให้ประท้วงการเข้ากรุงของคนเสื้อแดง ด้วยการร่วมกันบีบแตรรถหรือเปิดไฟหน้ารถ

แต่เท่าที่ได้ฟังและอ่าน ฉันพบว่ามีการให้ความหมายแก่ “สันติวิธี” หลายความหมาย หากประเมินจากเสียงประชาชนทั่วๆไปที่บอกว่าตนเองเป็นกลาง ไม่เข้ากับสีใดทั้งนั้น กลุ่มนี้เรียกร้องสันติวิธีในความหมายที่หมายถึงการเรียกร้องให้ผู้ชุมนุม ชุมนุมอย่างสงบเสงี่ยม เจียมตัว ชุมนุมอย่างสันติ ย้อนกลับไปในช่วงที่พันธมิตรชุมนุม คนกลุ่มนี้จะเรียกร้องให้รัฐมี ขันติธรรม และใช้ “สันติวิธี” กับผู้ชุมนุม เพราะผู้ชุมนุมแค่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองของตนตามระบอบประชาธิปไตย

ฝ่ายที่ยืนอยู่ข้างคนเสื้อแดงก็ออกมาบอกว่า สันติวิธีเป็นเครื่องมือของกลุ่ม อำมาตย์ (คำว่าระบอบ/กลุ่มอำมาตย์ก็มี ความหมายเฉพาะแบบไทยๆที่น่าศึกษา และเป็นอีกหนึ่งในคำที่ถูกทำให้่ กลายเป็นคำสามัญของมวลชน)ที่ เอาไว้ปราบปรามมวลชนเสื้อแดง

นักวิชาการบางคนก็ชี้แจงว่า สันติวิธีไม่ได้แปลว่าไม่มีใครเจ็บตัว หากผู้ชุมนุมประท้วงอยากได้มาซึ่งสิ่งที่เรียกร้อง เราอาจต้องยอมเจ็บตัว ยอมถูกจับกุม คุมขัง เราต้องไม่โต้ตอบความรุนแรงด้วยความรุนแรง

ทีนี้ก็มีบางท่านเป็นห่วงจากใจจริงว่า เฮ้ย เวลาชุมนุมแล้วมีคนตายเนี่ยะ คนที่ตายล้วนแต่เป็นชาวบ้านร้าน ช่อง เป็นลูกนายดำ นางแดง คนเหล่านี้ ตาย เจ็บ พิการ คนที่เป็นแกนนำน่ะรอดทุกคน

ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของฝ่ายไหน คนที่ตาย พิการ บาดเจ็บ ล้วนแต่เป็นไพร่ราบ ทหารเลว

เราย่อมไม่อยากให้มีการสูญเสีย ระหว่างประชาธิปไตย กับชีวิตคนจะหนึ่งหรือสองชีวิ ต ถ้าจะต้องเลือก เราต้องเลือกชีวิต ฟังแ้ล้วก็ต้องเห็นด้วย คนอย่างฉันที่เก่งแต่ปาก(กา) และกลัวตายอย่างยิ่งยวดคงไม่มี ความกล้าหาญพอจะไปชุมนุมกับ ใครเขาที่ไหน

แล้วยุติธรรมแล้วหรือที่เราจะให้คนอื่นมาตายหรือติดคุกเพื่อเรา

บางคนพูดถึงสันติวิธีก็นึกถึงคานธี แต่คนบ้าๆบอๆอย่างฉันนึกถึง นางเอกหนังไทยสมัยก่อน ที่ถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้ง ถูกตัวอิจฉาแอบเอาหมามุ่ยมาผสมน้ำอาบ ถูกใส่ร้ายสารพัด ไม่ว่านางเอกของเราจะถูกกระทำ จากฝ่ายตรงข้ามสักเท่าใดเธอไม่ เคยตอบโต้ แต่จะกัดฟันทำดีพิสูจน์ตัวเองต่อ ไปเรื่อยๆ และแม้จะต้องตกระกำลำบาก อาจติดคุก อาจถูกไล่ออกจากบ้าน

(เช่นถูกใส่ร้ายว่าขโมยเครื่อง เพชรของคุณหญิงแม่ของพระเอก)

แต่มันจะต้องมีวันหนึ่งที่ความดีจะปรากฎ ความเลวของคนเลวจะถูกเปิดเผย วันนั้น ทั้งนางเอก และคนดูอย่างเราก็จะนั่งน้ำหู น้ำตาไหล ปลาบปลื้ม ที่ท้ายที่สุดความดีก็ต้องชนะความชั่วอยู่วันยังค่ำ

อันนี้จะอ้างว่านางเอกหนังและละครน้ำเน่าไทยยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี เป็นตัวอย่างที่ดีแก่สังคมเสมอ มาจะได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

คนที่วันๆเอาแต่นั่งอ่านนิยายประโลมโลกอย่างฉันก็อดจะเอาภาพนางเอก และตัวอิจฉามานั่งมองเวทีการเมืองไทยตอนนี้ไม่ได้

ลองย้อนกลับไปถึงครั้งที่กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมกันอย่างยืดเยื้อในกรุงเทพฯ เป็นเวลายาวนานหลายเดือน และการปราศรัยบนเวทีนั้นเต็มไป ด้ยอารมณ์ดราม่าเข้มข้นเต็ม สูบ และถ้อยคำปลุกอารมณ์ที่รุนแรง และหากความจำไม่สั้นเกินไปก็คงจะจำได้ว่าเต็มไปด้วยถ้อยคำปรามาสหยาบคาย

แต่ครั้งนั้นคนกรุง และสื่อทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ มิได้ทำท่าหวาดกลัว หรือตระหนกตกตื่นต่อความรุนแรงที่เิกิดขึ้นจากการชุมนุม แต่ความกดดันทั้งหมดไปอยู่กับฝ่ายรัฐบาลแทย ชนชั้นกลางและคนที่เห่อเหิมเห็น ว่าการปฎิวัติครั้งนั้นเปรียบ ดั่งอัศวินมากู้ชาติให้ร อดพ้นจากการถูกเขมือบกินโดย ทักษิณซึ่งมีภาพของนักธุรกิจ ผู้ละโมบ ลูกจีนจากหัวเมืองที่พูดไทยไม่ ชัด พูดภาษาอังกฤษผิดไวยากรณ์ตลอด เวลา แถมยังคกคามสื่อ ใช้เงินซื้อความนิยมชมชอบจากมหาชน ฯลฯ

ชนชั้นกลางเหล่านี้พร้อมจะเชื่อว่ารัฐบาลจะใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม (แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า ส.ส. ทั้งหลายปืนออกจากรัฐสภากันทุลักทุเล และคดีแก๊สน้ำตาจากจีนที่ทำให้แขนขาขาด ยังไม่ได้รับการคลี่คลายว่าเกิดจากอะไรกันแน่)

ตอนนั้นหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับออกมาเรียกร้องมิให้รัฐใช้ความรุนแรงต่อผู้ ชุมนุมและคำพูดที่ว่า การออกมาชุมนุมของประชาชนเป็นสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญถูกพูดออก มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และดูเหมือนว่าคนกรุง จะมีขัยติธรรมต่อความไม่สะดวกสบายในชีวิตที่เขาได้รับอย่างน่าชื่นชม ไม่นับขันติธรรมที่มีต่อการยึด สนามบิน

ฉันไม่เห็นคนกรุงเสี้ยนอยากจะจัดการเรื่องนี้เหมือนที่เีสี้ยนจะเปิดไฟหน้า รถหรืออกมาบอกว่า การชุมนุมทำให้เศรษฐกิจของชาติเสียหาย

ภาพของผู้เข้าร่วมชุมนุมในหน้าหนังสือพิมพ์ มักจะเป็นภาำพของกลุ่ม “สตรีผู้สูงศักดิ์” บ้าง ภาำพของชาวออฟฟิศหน้าตาดี แต่งตัวดี ไม่ต้องนั่งอีแต๋นหรือนั่งรถก ระบะมาจากต่างจังหวัดพวกเขา อยู่ที่กรุงเทพฯ-จึงไม่มีบรรยากาศ แห่งการเข้ามาบุกรุกคุกคาม ยึดบ้าน เผาเมือง

ภาพสาวๆ สาวเสื้อเหลือง โพกผ้ากู้ชาติ บางคนนุ่งกางเกงยีนส์ บางคนนุ่งกางเกงขาสั้นอวดเรียว ขาสวย ทุกคนหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม น่าเอ็นดูมาก ดูแล้วชื่นใจว่าแม้แต่เด็กสาวๆหน้าตาดีๆ (หน้าตาดีในที่นี้คือ ขาวๆ หมวยๆ ผอมๆ แบบคนกรุง อีกนั่นแหละ) ยังมีจิตสำนึกทางการเมือง

ยังจำได้ว่า หนังสือพิมพ์มติชนนี่แหละ เสนอภาำพเปรียบเทียบหน้าตาของสาวๆ ที่เข้าร่วมชุมนุมแดงกับเหลือง ภาพสาวเสื้อเหลืองเป็นอย่างที๋ ฉันบรรยายไปข้างต้น เห็นแล้วชื่นใจ๊ ชื่นใจ

แต่ภาำพของสาว (ป้าๆ) เสื้อแดง กลับเป็นภาพของหญิงวัยกลางคน หน้าตายับยู่ียี่ แววตาเต็มไปด้วยความโกรธ ความเหนื่อยล้า ผิวคล้ำดำกร้านนั้นตัดกับเสื้อสีแดงก็ยิ่งดูดำไปกันใหญ่ และท่าทางของพวกเธอแต่ละคนเหมือนพร้อมจะออกไปตบใครก็ได้ทุกเมื่อ โคตรน่ากลัวเลย

ฉันยังจำบทสัมภาษณ์ของสตรีชนชั้นนำคนหนึ่งที่ตอนนี้เป็นถึงเมียรัฐมนตรี ว่าเธอเข้าร่วมชุมนุมพันธมิตร เธอเล่าว่า

“…ตอนนั้นไปเฮฮามาก…ข้าวอร่อยมาก ไปนั่งกินตรงวิวพระที่นั่งอนันต์ มีใครได้กินแบบนั้นมั่ง”

ฉันไม่ได้ยกขึ้นมาเพื่อจะชี้ว่าใครผิดหรือถูกระหว่างการชุมนุมของเหลืองกับ แดง แต่กำลังชี้ให้เห็นถึงปฎิกิริ ยาที่ “สื่อ” และ “สังคม” มีต่อการชุมนุมสองสีว่ามันต่างกันราวฟ้ากับเหว และที่น่าขันความแตกต่างนี้ไม่ ได้เกิดขึ้นจากการพินิจเนื้อ หาในการชุมนุม หรือแม้กระทั่งการสำรวจอุดมการณ์ของการชุมนุมอย่างจริงจัง แต่กลับเกิดจาก”ภาพ”ล้วนๆ

คำว่า สตรีผู้สูงศักดิ์ รูปร่างหน้าตา ระดับการศึกษาของผู้เข้าร่วมชุมนุม ฐานะทางการเงินของผู้เข้าร่วมชุมนุม ทำให้สังคมหรือ คนกรุงมั่นใจว่าการชุมนุมของฝ่ายเสื้อเหลืองนั้นมีอารยะมากกว่า มีวัฒนธรรมมากกว่า มีอุดมการณ์ที่แท้จริงกว่า เพราะคนดี คนรวย คนเก่ง คงไม่ได้ถูกใครหลอก ปั่นหัว หรือจ้างให้เข้ามาร่วมชุมนุม

หากเปรียบเป็นละครน้ำเน่า ฉันคิดหนักว่าใครเป็นฝ่ายพระเอก นางเอก และใครเป็นผู้ร้ายและตัวอิจฉา

ระหว่างทักษิณกับอภิสิทธิ์ : คอละครหลังข่าวก็คงพอเดาออกว่า ระหว่างลูกเจ๊กจากสันกำแำพง กับ ลูกผู้ดีเก่ารัตนโกสินทร์ ระหว่างปริญญาเอกมหาวิทยาลัยอะไร ก็ไม่รู้ของทักษิณกับปริ ญญาเกียรตินิยมอ๊อกซ์ฟอร์ด ระหว่างมีเมียผมตั้งกระบังกับเมีย นักวิชาการ ระหว่างชื่อเล่น มาร์ค กับ แม้ว

เฮ้อ ภาพพจน์พระเอกในหัวใจของคนไทยมันเป็นของอภิสิทธิ์เห็นๆ

(ไม่เกี่ยวกับการทำงาน ความสามารถใดๆทั้งสิ้น เพราะพระเอกละครไทยนอกจาก หล่อ พ่อรวย มรดกเยอะ วันๆก็ไม่เห็นทำการทำงานอะไร มีแต่ใส่สูท คาปไปท์ พูดเพราะๆ งานหลักๆ ที่ทำอยู่คือพาผู้หญิงไปกินข้าว กับเอาใจหม่อมแม่)

ทีนี้มาดูมวลชนของสองฝ่ายว่าใครจะเป็นนางเอก ใครจะเป็นตัวอิจฉา ถ้าอ่านนิยายโรแมนซ์ของนักเขียน แนวสกุลไทยมากๆมวลชนเหลือง เป็นนางเอกแน่ๆ

แต่ถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของกลุ่มนักเขียนเพื่อชีวิตจะเทข้างไปให้สีแดงเป็น พระเอก นางเอก ของมวลชนผู้ทุกข์ยากและถูกกดขี่ หรือไม่?

ถามเองก็กุมขมับเอง เพราะพล๊อตของวรรณกรรมเพื่อชีวิตที่ผ่านมา มวลชน ชาวนา หาเสียง เลี้ยงเจ้าพ่อ หรืออีกที ตัวร้ายก็เป็นทุนนิยม บริโภคนิยม วัตถุนิยม

(สามสิ่งนี้มักมาด้วยกันเป้นชุด เหมือนซื้อโอโม่แถมช้อน)

ลงอีรูปนี้ ผู้ร้ายก็ยังเป็นทักษิณ ผู้เป็นสัญลักษณ์ทุนนิยม นักการเมืองคอร์รัปชั่นโกงกิน กับนโยบายกระตุ้นการบริโภค ทำให้ชาวบ้านเป็นเหยื่อของวัตถุ และโทรศัพท์มือถือ

เมื่อเป็นนี้ ภาพมวลชนนับหมื่น นับแสน ที่เคลื่อนตัวเข้าสู้กรุงเทพฯ จะด้วยเหตุผลอะไรแล้วแต่จึงเป็น ภาำำำพของชาวบ้านผู้ไร้เดียงสา ถูกปลุกปั่นยุยงโดยนักการ เมืองไร้จริยธรรมหวังใช้ช าวบ้านเป็นเครื่องมือต่อสู้ ให้ตนเองได้กลับสู่อำนาจ บ้างก็ว่าถูกจ้างมาด้วยเงินเท่า นั้นเท่านี้ บ้างก็ว่าแค่อยากมาเที่ยวกรุงเทพฯฟรีๆ

(แหม หลงตัวเองจริง พวกคนกรุงทั้งหลาย คิดว่ากรุงเทพฯมันน่าเที่ยวมาก หรือไง ร้อนจะตายชัก)

สมมุติว่าเป็นละครน้ำเน่า และฉันยืนยันสมมุติให้คนเสื้อแดงเป็นนางเอกผู้น่าสงสาร ถูกกดขี่ ถูกใส่ร้ายอย่างไม่ยุติธรรม ถูกปล้นชัยชนั นางเอกของเราจะอดทนหิ้วถุงผ้า เอ็ย ยึดสันติวิธี ยืนหยัดในความดี ความถูกต้อง ไม่โต้ตอบ ถ้าโดนตบแก้มซ้าย จะหันแก้มขวาให้ตบซ้ำ

(สูญเสียความชอบธรรมในการต่อสู้เสียฉิบ)

ฉันก็อยากเห็นนางเอกของเรายึดมั่นในสันติวิธี แต่ปัญหาคือ โดยทั่วไปแล้วผู้ชมละครทางบ้าน จะแยกแยะได้ง่ายว่าใครเป็นนางเอก ใครเป็นตัวอิจฉา ใครเป็นพระเอก ใครเป็นผู้ร้าย แต่ละครเรื่องนี้ผู้ร้ายนั้นพูดจา แต่งตัว และหน้าตาเป็นพระเอกเอามากๆ ส่วนตัวอิจฉาก็ไม่กรี๊ด ไม่ตบ ไม่กระโดดขึ้นมาข่วนหน้าใครให้เห็น

หรือถ้าจะไปทำอะไรเลวๆ กล้องก็ไม่เคยถ่ายมาให้เราดู และพวกเราก็ขี้เกียจอ่าน หรือขุดคุ้ยข้อมูล แค่ บทวิเคราะห์คำพิพากษาคดียึดทรัำพย์ที่อาจารย์นิติฯธรรมศาสตร์ 5 คน อุตส่าห์เขียนมาให้เราอ่านเพื่อเป็นความรู้ และข้อมูล ยังไม่มีใครสนใจ และไม่มีรายการอ่านข่าว เล่าข่าว รายการไหนเอาไปถกเถียง

มีแต่พูดกันว่า ศาลตัดสินไปแล้ว ไม่รู้จักเคารพคำตัดสินของศาล คนจนๆพวกนี้มัวแต่ห่วงเรื่องปาก ท้องทำมาหากินจนไม่รู้จักคิด เรื่องความยุติธรรม

(คุ้นๆว่าอยู่ในเฟซบุ๊คใครก้อม่ายรุ)

คิดแล้วเหนื่อยใจแทนคนเสื้อแดง เพราะตกที่นั่งนางเอกที่นอกจากจะไม่สวย ตัวดำ ยากจน ไร้การศึกษา มีภาพลักษณ์นิยมความรุนแรง แถมพระเอกของคนเสื้อแดงก็อย่างที่เขียนไปข้างต้น คือไม่เข้าแก๊บพระเอกในดวงใจของมหาชน ชาวไทยเอาเสียเลย

ไ่ม่รู้ว่าจะต้องอดทนอีกเท่าไหร่ที่ความจริงจะถูกเปิดเผย