Archive

Archive for April, 2010

ผู้ก่อการร้าย แปลว่า “ฆ่าได้” เหมือนอย่างที่เคยฆ่า ปรากฏการณ์ “ไพร่ทาสเฉื่อยงานกับข้าราชการเกียร์ว่าง”

27 April 2010 Leave a comment

ผู้ก่อการร้าย แปลว่า "ฆ่าได้" เหมือนอย่างที่เคยฆ่า ปรากฏการณ์ "ไพร่ทาสเฉื่อยงานกับข้าราชการเกียร์ว่าง"

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนักประวัติศาสตร์ที่มองการเมืองไทย ทะลุมาตั้งแต่พ.ศ. 2475 เขามองปรากฎการณ์ของ ไพร่ อำมาตย์ และทหาร ได้ลึกกว่าใคร "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์ ดร. ชาญวิทย์ ในบรรยากาศอึมครึมก่อนมีพายุใหญ่

@แนวโน้มเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

ภาพรวมคิดว่า น่าจะจบด้วย 1) นายกฯยุบสภาหรือลาออก 2) นองเลือดแล้วหลังจากนั้น ขบวนการเสื้อแดงมุดลงดินกับขึ้นไปในโลกไซเบอร์และ 3) เป็นปรากฏการณ์ที่คนไทยมองเรื่อง "กฤษดาภินิหาร" อย่างเช่นหนังสือที่ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้ "กฤษดาภินิหารอันบดบังมิได้ของกรมพระนเรศ" (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเศรวรวรฤทธิ์ พระนามเดิม พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร พระราชโอรสองค์ที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์บวรเดช เจ้าอดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายทหารนำกำลังทหารจากหัวเมืองภาคอีสานล้มล้างการปกครองของรัฐบาลอันเป็นเหตุการณ์ "กบฏบวรเดช" เกิดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476)

@ เท่ากับว่าพัฒนาการประชาธิปไตยไม่คืบหน้าหรือเปล่า

มันอยู่ที่คนกลุ่มไหนเป็นคนมอง บางคนอาจหมดหวังกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่บางคนก็อาจจะมองว่ามันกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าถึงจุดที่ดีกว่าเดิม เป็นที่มาของประโยคประเภทที่ว่า "กลียุคเป็นบ่อเกิดแห่งเสรีภาพ"

@ ฝ่ายไหนได้เปรียบเสียเปรียบกว่ากัน

มองยากว่าใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เพราะบางคนก็คิดว่าถึงทางตัน แต่ความจริงแล้วสังคมก็เดินของมันไป

@ ขณะนี้รัฐบาลเตรียมจัดการกับผู้ก่อการร้าย

ผู้ก่อการร้ายเป็นวาทกรรมที่ซับซ้อนมากๆ ภาษาไทยแปลมาจากคำในสมัยยุค sixty-seventy (ยุคค.ศ.1960 ค.ศ. 1970) ในสมัยสงครามเย็น สมัยความขัดแย้งของลัทธิ เป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างมาต่อต้านคอมมิวนิสต์ เป็น insurgency หรือ insurgent ซึ่งหมายถึงคน ผู้ก่อการร้ายสมัยสงครามอินโดจีนสมัยไทยร่วมเป็นพันธมิตรกับอเมริกา

แต่คำว่าผู้ก่อการร้ายในปัจจุบันน่าจะหมายถึง terrorist หมายถึงคนที่เป็นผู้ก่อการร้าย กับคำว่า terror อันนี้เป็นศัพท์ที่มาจากความขัดแย้งของโลกตะวันตกกับโลกมุสลิม มาจากเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด ใน ค.ศ. 2001 แปลว่าเป็นเรื่องระดับสากลมากๆ ฉะนั้น การที่รัฐบาลใช้คำนี้เป็นการใช้คำที่กำกวมและเกินเลยต่อสภาพของความเป็นจริง เป็นการใช้ในความหมายแบบเก่าครึ่งหนึ่ง หมายถึงผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ มีนัยยะครอบคลุมคอมมิวนิสต์และฝ่ายซ้ายเก่าในยุคหลัง 6ตุลา 2519 และใช้ในความหมายที่คลุมไปถึงการก่อการร้ายในปัจจุบันคือเรื่อของการถล่มตึกเวิลด์เทรด เรื่องของประเทศอิรัก เรื่องบินลาเดน เรื่องของอัฟกานิสถาน รวมทั้งนัยยะของเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ในด้านหนึ่งเป็นการยกสถานะความขัดแย้งจากถนนราชดำเนิน หรือแยกราชประสงค์ให้เป็นระดับอินเตอร์ เพื่อให้ประเทศต่างๆ ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมันอาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ได้ แต่ผมคิดว่าปัญหาของเรามัน local มากกว่า มันเป็นเรื่องท้องถิ่นมากๆ ฝ่ายแดงมีปลาร้า โคมลอย ทอดแห ไม้ไผ่ปลายแหลม บั้งไฟ แม้เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. จะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการปะทะกันนั้นมีอาวุธร้ายแรง แต่โดยภาพรวมของฝ่ายแดงมันก็ดู local อยู่ดี

@ เชื่อว่าใช้คำแบบนี้เพื่อพร้อมปราบปราม

แน่นอน เพราะคำว่าผู้ก่อการร้าย แปลว่า ฆ่าได้ เหมือนอย่างที่เคยฆ่ามาแล้ว สร้างความชอบธรรมให้การประหัตประหาร

@ ปัญหาของการใช้คำกำกวม

วาทกรรมของรัฐบาลอาจไม่ได้ผล เพราะคำเช่นนี้เคยใช้ในสมัย 14 ตุลา 2516, พฤษภา 2535 ก็ไม่ได้ผล ใช้คำว่าผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ บ่อนทำลายประเทศชาติ ไม่สามารถทำให้คนที่อยู่ตรงกลาง (ระหว่างคนที่พร้อมจะเชื่อรัฐบาลกับคนที่ไม่เชื่อรัฐบาล) เชื่อรัฐบาลขึ้นมาได้ ซึ่งคนพวกนี้มีจำนวนมาก และการ์ตูนการเมืองในหนังสือพิมพ์บางฉบับ เช่น ไทยรัฐหน้า 3 และการ์ตูนการเมือง เกาเหลาชามเล็กในมติชน ก็เอามาล้อเลียนเป็นเรื่องตลก ทำให้ความขลังของอำนาจ(รัฐบาล)พังพินาศลงถูกหัวเราะ แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่า การปราบปรามจะสำเร็จไหม หรือจะเป็นบูมเบอแรงเหมือนวันที่ 10 เมษา หรือไม่ เช่น แม่ทัพถูกเด็ด อาวุธยุทธโธปกรณ์ถูกทำลาย

@ หลังวันที่ 10 เม.ย. ก็ไม่ได้สะเทือนอำนาจของรัฐบาล

ผมคิดว่าสะเทือน มันถึงได้คาราคาซังไง จากวันที่ 10 เมษา มาถึงวันนี้ กว่า 10 วัน ไม่มีอะไรคืบหน้า มันเหมือนกับเป็น "เกมรอ" เป็น "waiting game" เกมมันลากยาวมากเพราะสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใครมีความได้เปรียบที่แท้จริงแต่มันยันกันอยู่หมดเลย ไม่งั้นมันจบเร็วๆไปแล้ว แต่ความจริงคือมันยังยันกันอยู่

@ การที่รัฐบาลยังอยู่ในตำแหน่ง ไม่ได้แปลว่าชนะ

ผมกลับมองว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ในฐานะลำบากมาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกหาทางจบเกมไม่ได้ ณ เวลานี้นะครับ แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ณ เวลาที่ฝุ่นตลบ อีก 1 ชั่วโมงสถานการณ์อาจเปลี่ยนไปก็ได้ พูดยากมาก

@ การชุมนุมตึงเครียดมีความหวาดระแวง

ม็อบยังไม่ชนะหรอกครับ แต่การชุมนุมมาเดือนกว่านี้ ฝ่ายเสื้อแดงเก็บคะแนนมาตลอด เพียงแต่ถูกตัดแขนขา เพราะต้องต่อสู้กับผู้กุมอำนาจรัฐประกอบด้วยตำรวจ ทหาร เผลอๆ มีตุลาการอีกด้วย แถมยังมีกองกำลังเสริม(ฝ่ายรัฐบาล)อยู่เป็นระยะๆ แต่ฝ่ายกุมอำนาจรัฐและผู้สนับสนุนก็ยังไม่สามารถเผด็จศึกได้

@ ปัญหาทหารตำรวจเกียร์ว่าง เพราะไม่แน่ใจว่าอำนาจจะพลิกไปทางไหน

ผมว่าในยุคที่การเมืองเสื้อเหลืองออกมาต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็มีข้าราชการเกียร์ว่าง แต่มันไม่ชัดเจนเท่าคราวนี้ ที่เสื้อแดงต่อต้านรัฐบาลแล้วกลไกของรัฐนั้นกลายเป็นง่อยไปเลย เป็นปรากฏการณ์ที่แปลก เพราะปกติกลไกรัฐต้องทำตามเจ้านายสั่ง แต่คราวนี้เจ้านายไม่สามารถจะสั่งได้ เหมือนกับ ผู้นำทหารจำนวนหนึ่งอาจจะคิดว่าเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ ฉะนั้น เมื่อรัฐบาลนายสมัคร รัฐบาลนายสมชายสั่ง เขาก็ไมทำ ส่วนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์สั่ง เขาก็ไม่อยากทำ แต่ถ้าคุณมีambition สูง(ความทะเยอทะยาน) อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ถ้าทหารยึดอำนาจแล้วก็ไม่ได้เป็นนายกฯ แล้วจะไปยึดอำนาจทำไม(หัวเราะ) ยึดอำนาจแล้วก็ซวยถูกด่าอีกต่างหาก รัฐบาลมาก็เปลี่ยนตัว แต่สถาบันตำรวจทหารนั้น มันขึ้นอยู่กับผู้คุมสถาบันทหารตำรวจจะเอาตัวเข้าแลกหรือเปล่า

ในสมัยอยุธยา มีไพร่ ใช้วิธีการต่อสู้โดยการ "เฉื่อยงาน" เช่นว่า ไพร่ถูกเกณฑ์มาขุดคลอง ถางหญ้า สร้างกำแพง มันไม่ชอบ มันไม่อยากทำ มันก็เฉื่อยงาน มันทำให้งานช้า งานไม่สำเร็จ การเฉื่อยงานเป็นเรื่องปกติในสังคมโบราณ ซึ่งเกิดในระดับล่างของคนที่เป็นไพร่ เป็นทาส แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันกลับไปเกิดในกลุ่มข้าราชการของรัฐ "เกียร์ว่าง" ซึ่งเป็นคำศัพท์ใหม่ ก็คือ "เฉื่อยงาน" ซึ่งเป็นคำศัพท์สมัยเก่า

ตอนที่รัฐบาลนายสมัคร-นายสมชาย หรือรัฐบาลปัจจุบันสั่งให้ ผบ.ทบ.ทำ…ก็ไม่ทำ เป็นปรากฏการณ์ของสังคมไทยที่ข้าราชการเฉื่อยงานตามแบบของพวกไพร่ในสมัยอยุธยา

ในพงศาวดารอยุธยา หรือในพงศาวดารจีน ก็ปรากฏเหตุการณ์แบบนี้ กลุ่มต่างๆ ก็ช่วงชิงความได้เปรียบ เหมือนว่าเป็นสถานการณ์ที่เกิดช่องว่างทางอำนาจ หรืออีกด้านหนึ่งคือ "ไม่มีใครมีอำนาจอย่างแท้จริงที่เห็นได้ชัด"

@ความแตกแยกในกองทัพ

สิ่งที่น่าเสียดาย คือในวงวิชาการไม่มีนักวิชาการที่รู้เรื่องกองทัพการทหาร ทำให้ไม่สามารถอธิบายการเมืองไทยได้ อาจจะมีคนเดียวคือ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เรื่องกองทัพ หรืออาจจะมีนักข่าวที่รู้อย่างคุณวาสนา นาน่วม แต่สิ่งที่นักรัฐศาสตร์ไทย "กลวง" คือ ไม่รู้เรื่องว่าใครเป็นใครในกองทัพ ไม่มีการทำงานวิจัยจริงจัง คณะรัฐศาสตร์จุฬา-ธรรมศาสตร์ล้าหลัง เพราะการจะเข้าใจการเมืองประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็ต้องเข้าใจว่าสถาบันองค์กรเหล่านั้นเป็นอย่างไร งานวิจัยจริงจังมีน้อยมาก ทำให้นักวิชาการนักรัฐศาสตร์ใช้แต่คอมมอนเซนส์

กรณีที่เกิดขึ้นกับนายทหารระดับสูง(ถูกทำร้ายด้วยอาวุธ) ในวันที่ 10 เม.ย. เป็นเรื่องใหญ่มาก ผมไม่คิดว่าจะมีปรากฏการณ์อันนี้กลางกรุงด้วยซ้ำไป เห็นแล้วเราก็มึนงง ถ้าเราดูจากสื่อกระแสหลัก ทีวี โทรทัศน์ เราจะไม่มีทางเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับระดับพันเอก เป็นเรื่องที่น่าตกใจ อีกด้านเป็นสัญญาณให้เราเห็นว่า ความขัดแย้งต้องสูงมาก เรื่องแบบนี้พลเรือนโดยทั่วๆไป ทำไม่ได้หรอก เพราะเป็นเรื่องเทคนิค การสงคราม อาวุธยุทโธปกรณ์ระดับสูง เหตุการณ์มันเกินเลยจินตนาการของเรา ว่าจะเป็นอย่างงี้ แต่มันก็เป็น ฉะนั้น สิ่งที่คนจำนวนมากพูดถึงสงครามกลางเมือง พูดถึงกาลียุค ก็อาจจะเป็นไปได้ ฉะนั้น เป็นสัญญาณหนึ่ง ลางบอกเหตุ

@ กรณีอดีต 2 นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย แถลงแนวทาง "ขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าปกกระหม่อมเพื่อคลี่คลายปัญหา" 

ผมไม่ค่อยคิดว่าเป็นปัญหานั้น เพราะถ้าเรามองกลับไปมีตัวอย่างที่เห็นชัด ทำไม "เสกสรรค์ ประเสริฐกุล" (ผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516) เคลื่อนขบวนจากพระบรมรูปทรงม้าไปสวนจิตรลดา ในประวัติของ 14 ตุลาฯ ใช้คำว่า "เพื่อไปขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง" แสดงว่า คุณชวลิต(พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) กับคุณสมชาย นี่ทำตามตามแบบ "เสกสรรค์" ปี 2516 เพื่อขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง ผมก็เลยไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่ 2 อดีตนายกฯ ไปขอเข้าเฝ้าฯ

@ ไม่คิดว่าขัดแย้งในแง่การอธิบายความคิดทางการเมืองเพราะฝ่ายนี้เคยแสดงความไม่เห็นด้วยเมื่อครั้ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอพระราชทานนายกฯตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7

ไม่หรอกครับ เพราะภาษาไทยมีคำที่ผมชอบและไม่รู้จะแปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร คำที่ว่า "คนละเรื่องเดียวกัน"

@ เป็นอีกตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าการเมืองไทยซับซ้อนมาก

ซับซ้อนครับ ถึงจบได้ยาก ลงตัวได้ยาก ต่อให้ยุบสภาก็ไม่จบได้ง่ายๆ ต่อให้ลาออกก็ไม่จบได้ง่ายๆ ต่อให้นองเลือดก็ไม่จบง่ายๆ เกมนี้ยาวมากอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่ยาวมากกินเวลาเป็น 100 ปี ตัวอย่างที่สำคัญคือ ปี ค.ศ. 1776 เกิดการปฏิวัติอเมริกา ให้เป็น democracy เพื่อต่อสู้กับ monarchy ของอังกฤษ จบด้วยdemocracy American ชนะ เมื่อแนวคิดว่าด้วยประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกสมัยใหม่ กลายเป็นกระแสใหญ่ระบาดไปทั่วโลก ถ้าจะเข้าใจปรากฏการณ์สังคมไทยต้องเข้าใจ "ชาติกับชาตินิยม" "ชาติกับประชาธิปไตย" เป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเก่าไปสู่สังคมสมัยใหม่ จาก traditional society ไปสู่ modern society ถ้าปรับตัวได้ก็จะทำให้ทั้ง 2 อย่างกลมกลืนไปอย่างประเทศอังกฤษ แต่ขณะที่ในประเทศฝรั่งเศสมันแตกหัก ตรงนี้สำคัญเพราะเมืองไทยกำลังพิสูจน์ว่าเราจะสร้างสังคมใหม่โดยมีประเพณีเก่าไปด้วยกันได้หรือไม่ ซึ่งยุ่งยากซับซ้อน

@ ถ้าเกิดเหตุคล้ายๆ 6ตุลาฯ หรือพฤษภา35 เราจะย่ำอยู่กับที่แบบนั้นไหม

ผมว่ามันไม่ใช่แล้ว เวลาเราพูดถึง พฤษภา35 ตอนนั้นอินเตอร์เนทก็ยังไม่แพร่หลายเลย เพราะยุคพฤษภา ก็มีแต่กล้องวีดีโอกับแฟกซ์ ส่วนโทรศัพท์มือถือก็ราคาเป็นแสนบาท คนที่มีโทรศัพท์มือถือก็มีไม่กี่คน แต่วันนี้คนที่มาจากต่างจังหวัดก็มีมือถือใช้แล้วณ ปัจจุบัน เราต้องคิดถึงอินเตอร์เนท โทรศัพท์มือถือ มอเตอร์ไซต์ ส่วน 14 ตุลาฯ กับ 6 ตุลาฯ นักศึกษาที่ต่อสู้ ยังต้องใช้กระป๋องนมผูกเชือกส่งข้อมูลให้กันจากตึก อมธ.(องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) แต่เดี๋ยวนี้มีตัวเปลี่ยนโลก คือ 1) อินเตอร์เนท 2) โทรศัพท์มือถือและ 3) มอเตอร์ไซต์ เดี๋ยวนี้ไม่ใช้คำว่า "เดินขบวน" แต่ใช้คำว่า "เคลื่อนขบวน" ไปแป๊บเดี๋ยวถึง ราบ11 ไปแป๊บเดียวถึงราชประสงค์ ส่วนผู้ดีมีสกุลอยากดูการชุมนุมก็ขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสไป โลกมันเปลี่ยนไปเยอะ

@ แม้จะมีสงครามคลิป แต่ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมที่ทุกฝ่ายต่างช่วงชิงอธิบายว่าอะไรคือความจริง

การช่วงชิงอธิบายความจริง ในโลกปัจจุบันนี้ รัฐและผู้คุมอำนาจรัฐ ไม่สามารถผูกขาดข้อมูลได้อีกต่อไปแล้ว

@ มีสติ๊กเกอร์ที่ยังไม่รู้ว่าใครทำข้อความ "รัฐไทยใหม่" "ประธานาธิบดีทักษิณ"

มันอาจจะใช้สติ๊กเกอร์แบบใหม่ แต่ message ข้อความ ยังเป็นแบบเก่า เหมือนจ้างคนไปตะโกนในโรงหนังว่า "ปรีดี ฆ่าในหลวง" ก็แบบเดียวกัน คนที่เชื่อก็เชื่ออยู่แล้ว แต่คนไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ ตอนนี้จึงอยู่ที่การวัดดวง!!!

การผูกขาดข้อมูลทำไม่ได้อีกแล้ว ถ้า elite ไม่สามารถเจรจาตกลงเกี้ยเซี๊ยกันได้ ก็จะทำให้เหตุการณ์ไปไกลถึงปราบปรามนองเลือด แล้วหลังจากนั้น เสื้อแดงส่วนหนึ่งก็จะลงใต้ดินหรือขึ้นไปในโลกไซเบอร์ รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพอย่างจีน ปักกิ่งยังไม่สามารถปิดการใช้อินเตอร์เนทได้เลย ถ้ากลายเป็น "นักรบในไซเบอร์สเปซ" จะน่ากลัว เพราะไม่จำเป็นต้องจับปืนจับอาวุธ แต่อยู่ที่ข้อมูลข่าวสารสร้างวาทกรรมให้คนเชื่ออะไร ผมว่าสำคัญมาก

@ สรุปแล้วหากคุณทักษิณสามารถเกี้ยเซี๊ยกับอีกฝ่ายหนึ่ง จะถือว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่

โดยปกติคนที่อยู่ชั้นนำของสังคม กลุ่ม elite มักจะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันประสานผลประโยชน์กันแบ่งกันกิน แต่ถ้าฝ่ายใดจะเอาหมดมันก็ทะเลาะกัน เอาเข้าจริงตรงนี้ elite มันฟัดกันทะเลาะกัน มันรบกันก็ไปหาพวก โดยที่พวกหนึ่งก็ไปหาพวกใส่เสื้อสีเหลือง พวกหนึ่งไปหาเสื้อสีแดง อีกพวกไปหาพวกเสื้อสีชมพู ถ้าไม่ประนีประนอมเกี้ยเซี๊ย ก็ต้องรบกัน โดยธรรมชาติ elite มักจะยอมกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกันและกัน

@ ถ้าอย่างงั้นมวลชนที่ถูกปลุกอารมณ์มาเสียขนาดนี้ ก็เป็นธรรมชาติที่ต้องผิดหวัง

– ก็เป็นธรรมชาติ เพราะเขาต้องหาพวก แต่ละพวกก็ต้องหาพวก ทีนี้ถ้าหาพวกแล้วสามารถต่อรองกันได้ ก็จบ แต่ ณ จุดนี้ ดูเหมือนกับเขาไม่อยากต่อรองเพราะต่างฝ่ายต่างเอาจุดตัวเอง… การเมืองมันคล้ายๆกับการช๊อปปิ้ง มีคนซื้อ-คนขาย ถ้ามันอยากซื้อจริงๆ มันก็ต้องยอมจ่าย หรือคนอยากขายก็ต้องยอมลดราคา แต่ถ้าจะเอาที่ตัวเองตั้งราคาเท่านั้น ในที่สุดก็ตกลงกันไม่ได้ แต่สิ่งแตกต่างกันคือในการเมืองมันไม่ใช่แค่คนสองคน เพราะมันกลายเป็นคนอื่นเดือดร้อนอีกต่างหาก

@ มวลชนบางส่วนอยากจะ "แตกหัก" แต่ถ้าชนชั้นนำเกี้ยเซี๊ยกันได้ ก็กลายเป็น "อกหัก"ไหม

ในการเมือง มีคน "อกหัก" อยู่เรื่อยๆ (หัวเราะ) ผมเห็นเพื่อนนักวิชาการของผมก็อกหักกันเยอะแยะ ตั้งแต่ 14 ตุลา 6ตุลา พฤษภาฯ อกหักกันเยอะเลย มีคำถามว่า เอ๊ะ! ทำไมคนนั้นได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการโน้นกรรมการนี่ คนนี้ได้เป็นบอร์ดไอ้โน่นบอร์ดไอ้นี่ มีนักวิชาการในหมู่ของผม ผมอยากให้เขียนลงไปด้วย มันตกรถไฟเยอะเลยครับ พยายามขึ้นรถไฟมันก็ตกรถไฟ น่าสงสารมาก บางคนตกรถไฟตลอดเพราะขึ้นไม่ทัน หรือรถไฟมันมาไม่ถึงหน้าบ้าน ดอกเตอร์ทั้งหลายตกรถไฟไปเยอะเลย ไม่ได้(ตำแหน่ง)อะไรตั้งแต่ 14 ตุลาฯจนถึง 19 กันยาฯ กูก็ไม่ได้อีก..โอ้…น่าสงสาร(หัวเราะ) บางคนแก่จะตายก็ยังไม่ยอมเลิก น่าสงสารนะคนที่มันทะเลาะกัน เผลอๆ อายุ70 up เป็นขิงแก่ทั้งนั้น

@ อาจารย์มองทุกเรื่องแบบปลงได้ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อไป

ผมอายุหกสิบกว่าปีแล้ว อะไรที่ผมอยากทำ ผมก็ทำมาหมดแล้ว ผมไม่ต้องแคร์อะไรอีกแล้ว สิ่งที่ผมอยากเรียกร้อง ผมก็ได้เรียกร้องไปแล้ว เหมือนครั้งนี้ถ้านายกฯอภิสิทธิ์ ไม่ยุบสภา ต่อไปเขาอาจจะมาคิดย้อนหลังว่านี่เป็นความผิดพลาด เมื่อครั้งที่ผมลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมก็ไม่ได้คิดว่าผมแพ้ ผมกลับคิดว่าการตัดสินใจนั้นถูกต้องแล้ว ไม่ได้รู้สึกด้อยกว่าคนอื่นและรู้สึกเหนือกว่าบางคนด้วยซ้ำ และผมสามารถมองตาทุกคนได้โดยไม่ต้องหลบตา

@ การที่ผู้ชุมนุมยึดราชประสงค์ ขณะนี้

เหมือนไปกุมคอหอยลูกกระเดือก ผมก็ไม่นึกมาก่อน ว่าเขาจะไปยึดราชประสงค์ ผมเคยอยู่ซอยสารสินแต่ก่อนเป็นชานเมือง ตั้งแต่เล็กจนโตก่อนไปซื้อบ้านของตัวเอง… แต่เมื่อ 2 คืนก่อน ผมกลับไปบ้านที่ซอยสารสิน พบว่าเต็มไปด้วย คนอีสานไปตากผ้าโสร่ง กางเกงใน แถวๆบ้านเรา เออ ตรงนี้ก็แปลก หน้าสยามพารากอน ก็มีนุ่งโสร่งไปอาบน้ำ เอากางเกงในไปตาก เป็นภาพที่ประหลาดมาก ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น ในเมืองไทยของเรา ในกรุงเทพฯ อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น ส่วนอะไรที่เราเคยได้เห็นมาตลอดชั่วชีวิต ก็อาจจะไม่ได้เห็นอีกต่อไป

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 27 เมษายน 2553


ชาญวิทย์ เกษตรศิริ : http://www.charnvitkasetsiri.com อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2537 – 2538)

สุรชาติ บำรุงสุข : อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, และมีงานเขียนเป็นคอลัมนิสต์ ใน มติชนสุดสัปดาห์

วาสนา นาน่วม : ผู้สื่อข่าวสายทหาร หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ และ โพสต์ทูเดย์ ผู้เขียนหนังสือชุด "ลับ ลวง พราง" เป็นบันทึกของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549


Case : เหมือนจ้างคนไปตะโกนในโรงหนังว่า "ปรีดี ฆ่าในหลวง"

"มีการจับกุมคนผิด ซัดทอดถึง นายเลียง ไชยกาล และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พรรคประชาธิปัตย์"

ส. ศิวรักษ์, เรื่องนายปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส.ศิวรักษ์, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2540, หน้า 54 – 55
อ่านได้ที่ http://www.openbase.in.th/files/pridibook116.pdf

ควรอ่านเพิ่มเติมหน้า 15-23 เพื่อให้เข้าใจถึงกรณีนี้มากขึ้น
ผู้ที่โดนประหารชีวิต 3 คน (ในหน้า 17) ได้แก่ 1 นายชิต สิงหเสนี 2 นายบุศย์ ปัทมศริน และ3 นายเฉลียว  ปทุมรส

เพิ่มเติม เรื่อง กรณีสวรรคต

ปริศนา กรณีสวรรคต ตอนที่ 1 : ฉาก, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
http://somsakwork.blogspot.com/2007/11/blog-post.html

ปริศนา กรณีสวรรคต ตอนที่ 2 : ในหลวงอานันท์ยิงพระองค์เอง หรือถูกผู้อื่นยิง, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
http://somsakwork.blogspot.com/2007/11/2.html

50 ปีการประหารชีวิต 17 กุมภาพันธ์ 2498, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
http://somsakwork.blogspot.com/2006/06/blog-post.html

Categories: News and politics

ถ้าวันนี้นายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มีผู้นำฝ่ายค้าน ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

22 April 2010 2 comments

ถ้าวันนี้นายกรัฐมนตรี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" มีผู้นำฝ่ายค้าน ชื่อ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"

ถึงวันนี้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" คงรู้แล้วว่า "อำนาจ" นั้น มีพลานุภาพเพียงใด

"อำนาจ" นั้น ไม่ใช่เพียงแค่สามารถทำลายล้างผู้อื่นได้

แต่ยังเปลี่ยนแปลงตัวเราเองได้เช่นกัน

เพราะนับตั้งแต่ "อภิสิทธิ์" ขึ้นดำรงตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" และเผชิญหน้ากับ "ม็อบเสื้อแดง"

อาวุธที่ทิ่มแทงความน่าเชื่อถือของเขามากที่สุดคือ "คำพูด" และ "หลักการ" ของเขาในสมัยเป็น "ผู้นำฝ่ายค้าน"

ลิ้นที่เคยปาดใส่ผู้อื่นได้ย้อนกลับมาเชือดคอตนเอง

นับตั้งแต่วันที่ "ม็อบเสื้อแดง" ชุมนุมใหญ่ด้วยปริมาณคนนับแสนคน เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พร้อมกับเรียกร้องให้ "อภิสิทธิ์" ยุบสภา

คำพูดของ "อภิสิทธิ์" เมื่อครั้งเป็น "ผู้นำฝ่ายค้าน" อภิปราย "สมัคร สุนทรเวช" นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2551 ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาทิ่มแทง "อภิสิทธิ์" ที่เป็น "นายกรัฐมนตรี"

ครั้งนั้น "สมัคร" กำลังเผชิญกับ "ม็อบพันธมิตร" ซึ่งมีจำนวนคนน้อยกว่า "ม็อบเสื้อแดง" ในวันนี้

ในการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร "อภิสิทธิ์" ลุกขึ้นเสนอให้ "สมัคร" ยุบสภาฯ

"เมื่อมีประชาชนเพียง 1 คน หรือแสนคน มาเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาตัวเองนั้น ไม่ได้ขัดหลักการประชาธิปไตย โดยเฉพาะถ้ามีข้อสงสัยว่าการบริหารประเทศนั้นละเมิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิประชาชน หรือทุจริตคอร์รัปชั่น เรื่องเหล่านี้ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะไม่รอให้กฎหมายจัดการ แต่จะมีสำนึกความรับผิดชอบทางการเมือง"

"ในประเทศเกาหลี แค่คิดนโยบายเปิดการค้าเสรี เอาเนื้อวัวต่างประเทศเข้ามา คนลุกฮือมาเป็นแสน ก็ตัดสินใจลาออกทั้งคณะ ต้องยอมรับว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นการที่ประชาชนสะสมความไม่พอใจมานาน"

"ถึงจะจัดการขั้นเด็ดขาดก็ไม่อาจทำลายแนวคิดต่อต้านที่มีได้"

"วันนี้ผมต้องพูดขัดใจลูกพรรค และสมาชิกหลายคน ที่มักไม่เสนอให้ยุบสภา แต่การยุบสภาจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบส่วนหนึ่ง ถ้านายกฯ ไม่อยากรับผิดชอบคนเดียว เราทั้งสภาจะเจ็บร่วมกัน"

แต่วันนี้ "อภิสิทธิ์" ยืนยันว่าการยุบสภาฯ ไม่ใช่การแก้ปัญหา

…..

นอกจากนั้น "ช่อง 11" ในยุค "อภิสิทธิ์" ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

ยิ่งหลังเหตุการณ์สลายม็อบ 10 เมษายน "ช่อง 11" ยิ่งถูกโจมตีถึงความไม่เป็นกลางมากยิ่งขึ้น เมื่อนำเสนอข้อมูลจากฝั่งรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว

ไม่มี "ความคิด" ที่แตกต่างจากรัฐบาลปรากฏอยู่บนจอช่อง 11 เลย

ข้อเขียนของ "อภิสิทธิ์" สมัยเป็น "ผู้นำฝ่ายค้าน" ที่ปรากฏในหนังสือ "ร้อยฝันวันฟ้าใหม่" เรื่องการปฏิรูปช่อง 11 ให้เป็นทีวีสาธารณะ ก็ถูกหยิบยกมาเชือดคอ "นายกรัฐมนตรี" ที่ชื่อ "อภิสิทธิ์" อีกครั้งหนึ่ง

"สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ที่คนจำนวนมากมองว่าเป็นแค่กระบอกเสียงให้รัฐบาลทุกสมัย

ผมเคยเป็นผู้ดำเนินรายการมองต่างมุมที่ออกอากาศทางช่อง 11 เคยมีเสรีภาพในการที่จะผลิตรายการที่เป็นเวทีความคิดเสรี

ผมเห็นว่าโทรทัศน์ช่อง 11 ในอดีตเคยผลิตรายการที่มีสาระและคุณภาพ เป็นเวทีที่เปิดกว้าง สามารถเอาคนที่มีความเห็นไม่ตรงกัน หรือไม่ตรงกับรัฐบาลมานั่งโต๊ะเดียวกัน พูดให้ประชาชนฟังได้พร้อมๆ กัน

สะท้อนว่าแม้จะเป็นสถานีภายใต้สังกัดหน่วยงานของรัฐ แต่ก็สามารถทำหน้าที่สื่อมวลชนที่มีคุณภาพได้

หาก "ผู้มีอำนาจรัฐ" มีเจตนารมณ์แท้จริงและเคารพในการทำหน้าที่สื่อมวลชน

ผมคิดว่าในเมื่อช่อง 11 ขึ้นอยู่กับรัฐ เป็นของรัฐ เพราะฉะนั้น มันก็อยู่ที่นโยบายของรัฐ

ประการสำคัญ คือ รัฐบาลจะต้องตระหนักว่า "รัฐ" ไม่ใช่ "รัฐบาล" แล้วก็ต้องทำให้ชัดว่า "ช่อง 11 เป็นของรัฐ ไม่ใช่ของรัฐบาล"

ใครจะไปนึกว่า "ช่อง 11" ในวันที่ "อภิสิทธิ์" เป็นนายกรัฐมนตรี

จะกลายเป็นทีวีของ "รัฐบาล" ไม่ใช่ของ "รัฐ"

ยิ่งกว่าวันที่ "อภิสิทธิ์" เป็น "ผู้นำฝ่ายค้าน" เสียอีก

…..

และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ "อภิสิทธิ์" สั่งสลายการชุมนุม "ม็อบเสื้อแดง" ที่สะพานผ่านฟ้า จนมีคนเสียชีวิต 25 คน และบาดเจ็บ 800 กว่าคน

เงาของวาทศิลป์สมัยที่เป็น "ผู้นำฝ่ายค้าน" ก็กลับมาหลอกหลอน "อภิสิทธิ์" อีกครั้ง

ย้อนไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" นายกรัฐมนตรี สั่งสลายการชุมนุม "ม็อบพันธมิตร" ที่หน้ารัฐสภา

มีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บ 400 กว่าคน

หลังจากนั้น "ผู้นำฝ่ายค้าน" ชื่อ "อภิสิทธิ์" เปิดแถลงข่าวภายหลังการประชุมพรรคประชาธิปัตย์

"เหตุการณ์ทั้งหมด นายกฯ ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบ ว่าเป็นผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่ก็จงใจให้เหตุการณ์เกิดขึ้น"

"แต่ที่เลวร้ายกว่าการโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ คือ การใส่ร้ายประชาชน"

"ผมไม่นึกไม่ฝันว่าเราจะมีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนจนเสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัสแล้ว ยังมีรัฐที่ยัดเยียดความผิดให้ประชาชนอีก ถือเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้"

"ผมเคยได้ยินฝ่ายรัฐบาลชอบถามคนนั้นคนนี้ ว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า แต่พฤติกรรมที่ท่านทำอยู่ ไม่ใช่เป็นคนไทยหรือเปล่า"

"แต่เป็นคนหรือเปล่า"

"วันนี้ในทางการเมืองหมดความชอบธรรมไปแล้ว เราเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายกฯ จะลาออกหรือถ้ากลัวว่าลาออกแล้วพรรคประชาธิปัตย์จะมีอำนาจ ท่านจะยุบสภาก็ได้ แต่ท่านไม่ควรเพิกเฉย เพราะถ้าไม่ทำอะไร ก็เท่ากับทำร้ายบ้านเมือง และกำลังทำร้ายระบบการเมือง"

"ระบบการเมืองในวิถีระบอบประชาธิปไตย ไม่มีที่ไหนในโลก ที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐ แต่รัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ"

"สิ่งที่พูดในวันนี้ รัฐบาลไม่ต้องมากล่าวหายัดเยียดว่าเพราะเราเห็นด้วยกับทุกเรื่องของ พันธมิตรฯ"

"เพราะถึงพันธมิตรฯ จะทำผิด แต่รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำร้ายประชาชน"

และเมื่อนักข่าวถามว่าทำไมสถานการณ์ในขณะนี้ที่ถือว่าวิกฤตสูงสุดแล้ว นายกรัฐมนตรียังอยู่ได้

คำตอบจาก "ผู้นำฝ่ายค้าน" ที่ชื่อ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" สั้นๆ แต่ชัดเจน

"ผมตอบไม่ได้ ผมก็ไม่เคยเห็นคนแบบนี้ ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ผมรู้จักก็คงไม่เป็นแบบนี้"

นั่นคือ ความคิดและการเรียกร้องความรับผิดชอบจากคนเป็น "นายกรัฐมนตรี" ของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ผู้นำฝ่ายค้าน

ในวันที่มีคนเสียชีวิตจากการสลายม็อบ 2 คน

ช่างแตกต่างจากความคิดและความรับผิดชอบของ "อภิสิทธิ์" ที่ดำรงตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี"

ในวันที่มีผู้เสียชีวิตจากการสลายม็อบถึง 25 คน

…..

มีคนเคยพูดถึงนักการเมืองว่า "เมื่อท่านพูดเราจะฟัง แต่เมื่อท่านลงมือทำเราจะเชื่อ"

"อภิสิทธิ์" ในวันที่เป็น "ผู้วิจารณ์" ในตำแหน่ง "ผู้นำฝ่ายค้าน"

หลักการของเขาแหลมคมและเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบ

แต่เมื่อเขาเปลี่ยนไปสวมบท "นายกรัฐมนตรี"

พลานุภาพแห่ง "อำนาจ" ก็แสดงอิทธิฤทธิ์

"คำพูด" ในอดีต กับ "การกระทำ" ในปัจจุบัน กลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง

ไม่แน่ชัดว่าเป็นเพราะเขาไม่เคยเชื่อในสิ่งที่เขาเคยพูดเลย

หรือว่าพูดในสิ่งที่เขาไม่เคยเชื่อมาตลอดชีวิต

มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 30 ฉบับที่ 1549


อ่านบทความนี้แล้ว พรุ่งนี้ คงต้องรีบไปซื้อ มติชนสุดฯ ก่อนที่จะเกลี้ยงแผงแบบเล่มก่อน
สามารถ อ่านเรื่อง "คนไทยโชคดี ที่ได้"อภิสิทธิ์"เป็นนายกฯ" เป็นบทความหนึ่งของมติชนสุดฯ เล่มที่แล้ว ฉบับ 1548 ได้ที่
http://mynoz.spaces.live.com/blog/cns!2AAF032065B8040B!838.entry

ส่วน "ร้อยฝันวันฟ้าใหม่" หนังสือแนวคิดของ อภิสิทธิ์ ที่ออกจำหน่ายก่อนการเลือกตั้งไม่นาน เป็นหนึ่งในเล่มที่ อ่านแล้วประทับใจมากครับ
ถ้าจะหาตามร้านหนังสือ คิดว่าน่าจะพอมีเหลืออยู่บ้าง
แนวคิดหลายๆอย่าง นับว่าดีมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ทั้งหมดที่ผมเห็นด้วยก็ตาม

ผมไม่แน่ใจว่า อุดมการณ์ถูกทำลายไป หรือไม่ได้มีมาตั้งแต่แรก แค่เขียนให้ดูดีเท่านั้น …

Categories: News and politics

เปิดบันทึก ‘ดร.ป๋วย’ ความรุนแรงและรัฐประหาร 6 ตุลา 2519 ใครเห็นแสงสว่างบ้างในอนาคต โปรดบอก

22 April 2010 Leave a comment

เปิดบันทึก ‘ดร.ป๋วย’ ความรุนแรงและรัฐประหาร 6 ตุลา 2519 ใครเห็นแสงสว่างบ้างในอนาคต โปรดบอก

เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ผ่านมาแล้วกว่า 33 ปี ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้ แต่ถ้าย้อนกลับไปดูอดีตอาจเห็นปัจจุบันได้ชัดเจนขึ้น "ประชาชาติธุรกิจ" เปิดบันทึก "ความรุนแรงและรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519"ของ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ ที่เขียนไว้เมื่อ วันที่ 28 ตุลาคม 2519 ท่านถามคนไทยว่า … ใครเห็นแสงสว่างบ้างในอนาคต โปรดบอก ?

@ เจตนาและความทารุณโหดร้าย

1. ในวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2519 เวลาประมาณ 7.30 น. ตำรวจไทย โดยคำสั่งของรัฐบาลเสนีย์ ปราโมช ได้ใช้อาวุธสงครามบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยิงไม่เลือกหน้า และมีกำลังของคณะกระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน และนวพล เสริม บ้างก็เข้าไปในมหาวิทยาลัยกับตำรวจ บ้างก็ล้อมมหาวิทยาลัยอยู่ข้างนอกเพื่อทำร้ายผู้ที่หนีตำรวจออกมาจากมหาวิทยาลัย ผู้ที่ถูกยิงตายหรือบาดเจ็บก็ตายไปบาดเจ็บไปคนที่หนีออกมาข้างนอกไม่ว่าจะบาดเจ็บหรือไม่ต้องเสี่ยงกับความทารุณโหดร้ายอย่างยิ่ง บางคนถูกแขวนคอบางคนถูกราดน้ำมันแล้วเผาทั้งเป็นคนเป็นอันมากก็ถูกซ้อมปรากฏตามข่าวทางการว่าตายไป 40 กว่าคน แต่ข่าวที่ไม่ใช่ทางการว่าตายกว่าร้อย และบาดเจ็บหลายร้อย

ผู้ที่ยอมให้ตำรวจจับแต่โดยดีมีอยู่หลายพันคน เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ หลายมหาวิทยาลัย เป็นประชาชนธรรมดาก็มี เป็นเจ้าหน้าที่และอาจารย์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งได้รับคำสั่งให้เฝ้าดูอาคารสถานที่และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยก็มิใช่น้อย

เมื่อนำเอาผู้ต้องหาทั้งหลายไปยังสถานีตำรวจ และที่คุมขังอื่น มีหลายคนที่ถูกตำรวจซ้อมและทรมานด้วยวิธีการต่างๆ บางคนถูกทรมานจนต้องให้การตามที่ตำรวจต้องการจะให้การ และซัดทอดถึงผู้อื่น

2. เจตนาที่จะทำลายล้างพลังนักศึกษา และประชาชนที่ใฝ่เสรีภาพนั้นมีอยู่นานแล้ว ในเดือนตุลาคม 2516 เมื่อมีเหตุทำให้เปลี่ยนระบบการปกครองมาเป็นรูปประชาธิปไตยนั้น ได้มีผู้กล่าวว่า ถ้าฆ่านักศึกษาประชาชนได้สักหมื่นสองหมื่นคนบ้านเมืองจะสงบราบคาบ และได้สืบเจตนานี้ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ในการเลือกตั้งเมษายน 2519 ได้มีการปิดประกาศและโฆษณาจากพรรคการเมืองบางพรรคว่า "สังคมนิยมทุกชนิดเป็นคอมมิวนิสต์" และกิตติวุฒโฑภิกขุ ยังได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า "การฆ่าคอมมิวนิสต์นั้นไม่เป็นบาป" ถึงแม้ในกันยายน–ตุลาคม 2519 เอง ก็ยังมีผู้กล่าวว่าการฆ่าคนที่มาชุมนุมประท้วงจอมพลถนอม กิตติขจร สัก 30,000 คน ก็เป็นการลงทุนที่ถูก

3.ผู้ที่สูญเสียอำนาจทางการเมืองในเดือนตุลาคม 2516 ได้แก่ทหารและตำรวจบางกลุ่ม ผู้ที่เกรงว่าในระบบประชาธิปไตยจะสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจไป ได้แก่พวกนายทุนเจ้าของที่ดินบางกลุ่ม และผู้ที่ไม่ประสงค์จะเห็นระบบประชาธิปไตยในประเทศไทย กลุ่มเหล่านี้ได้พยายามอยู่ตลอดเวลาที่จะทำลายล้างพลังต่างๆ ที่เป็นปรปักษ์แก่ตนเองด้วยวิธีต่างๆ ทางวิทยุและโทรทัศน์ ทางหนังสือพิมพ์ ทางใบปลิวโฆษณา ทางลมปากลือกัน ทางบัตรสนเท่ห์ ทางจดหมายซึ่งเป็นบัตรสนเท่ห์ขู่เข็ญต่างๆ และได้ก่อตั้งหน่วยต่างๆ เป็นเครื่องมือซึ่งจะได้กล่าวถึงในข้อ 20 และข้อต่อๆ ไป

วิธีการของบุคคลกลุ่มเหล่านี้คือ ใช้การปลุกผีคอมมิวนิสต์โดยทั่วไป ถ้าไม่ชอบใครก็ป้ายว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แม้แต่นายกรัฐมนตรีคึกฤทธิ์ หรือเสนีย์ หรือพระราชาคณะบางรูปก็ไม่เว้นจากการถูกป้ายสี อีกวิธีหนึ่งคือการอ้างถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือในการป้ายสี ถ้าใครเป็นปรปักษ์ก็แปลว่าไม่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

4. ในกรณีของกันยายน–ตุลาคม 2519 นี้ เมื่อจอมพลถนอม กิตติขจร เข้ามาในประเทศไทย ก็อาศัยกาสาวพัสตร์คือศาสนาเป็นเครื่องกำบัง และในการโจมตีนักศึกษาประชาชนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นข้ออ้าง

@ การแขวนคอ

5. จอมพลถนอมเข้าประเทศเมื่อ 19 กันยายน นักศึกษา กรรมกร ชาวไร่ชาวนา ประชาชนทั่วไปมีการประท้วง แต่การประท้วงคราวนี้ผิดกับคราวก่อนๆ ไม่เหมือนแม้แต่เมื่อคราวจอมพลประภาส จารุเสถียรเข้ามา คือกลุ่มผู้ประท้วงแสดงว่าจะให้โอกาสแก่รัฐบาลประชาธิปไตยแก้ปัญหา จะเป็นโดยให้จอมพลถนอมออกจากประเทศไทยไป หรือจะจัดการกับจอมพลถนอมทางกฎหมาย ในระหว่างนั้นก็ได้มีการปิดประกาศในที่สาธารณะต่างๆ เพื่อประณามจอมพลถนอม และได้มีการชุมนุมกันเป็นครั้งคราว (จนกระทั่งถึงวันที่ 4 ตุลาคม)

การปิดประกาศประท้วงจอมพลถนอมนั้น ได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มที่เป็นปรปักษ์ต่อนักศึกษาประชาชน นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2 คน และนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1 คน ถูกทำร้ายในการนี้ บางคนถึงสาหัส

ที่นครปฐม พนักงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2 คน ออกไปปิดประกาศประท้วงจอมพลถนอม ได้ถูกคนร้ายฆ่าตาย และนำไปแขวนคอไว้ในที่สาธารณะ ต่อมารัฐบาลยอมรับว่าคนร้ายนั้นคือตำรวจนครปฐมนั่นเอง

6. ในการประท้วงการกลับมาของจอมพลถนอมนั้น ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาได้รับความร่วมมือจาก "วีรชน 14 ตุลาคม 2516" คือผู้ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกันในตุลาคม 2516 (บางคนก็พิการตลอดชีพ) และญาติของ "วีรชน" นั้น ทำการประท้วงโดยนั่งอดอาหารที่ทำเนียบรัฐบาลในราวๆ ต้นเดือนตุลาคม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่ทำเนียบพยายามขัดขวางด้วยวิธีต่างๆ ในวันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม ด้วยความร่วมมือของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชุมนุมพุทธศาสตร์และประเพณี ญาติวีรชนจึงได้ย้ายมาทำการประท้วงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บริเวณลานโพธิ์ ในวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คาดว่าคงจะมีการก่อฝูงชนขึ้นที่นั่น เป็นอุปสรรคต่อการสอบของนักศึกษา จึงได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยแห่งรัฐ ขอให้รัฐบาลจัดหาที่ที่ปลอดภัยให้ผู้ประท้วงประท้วงได้โดยสงบและปลอดภัย

7. ในเที่ยงวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคมนั้นเอง เหตุการณ์ก็เป็นไปอย่างคาด คือ ได้เกิดการชุมนุมกันขึ้น มีนักศึกษาธรรมศาสตร์ นักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ ตลอดจนประชาชนไปชุมนุมกันที่ลานโพธิ์ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประมาณ 500 คน ได้มีการอภิปรายกันถึง (1) เรื่องจอมพลถนอม (2) เรื่องการฆ่าพนักงานไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่นครปฐม และได้มีการแสดงการจับพนักงานไฟฟ้านั้นแขวนคอ โดยนักศึกษาสองคน คนหนึ่งชื่ออภินันท์เป็นนักศึกษาศิลปศาสตร์ปีที่ 4 และเป็นสมาชิกชุมนุมการละคอน แสดงเป็นผู้ที่ถูกแขวนคอ

จากปากคำของอาจารย์หลายคน ที่ได้ไปดูการชุมนุมกันในเที่ยงวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคมนั้น ผู้แสดงแสดงได้ดีมาก ไม่มีอาจารย์ผู้ใดที่ไปเห็นแล้วจะสะดุดใจว่าอภินันท์แต่งหน้า หรือมีใบหน้าเหมือนเจ้าฟ้าชายมกุฎราชกุมาร เป็นการแสดงโดยเจตนาจะกล่าวถึงเรื่องที่นครปฐมโดยแท้

เมื่ออธิการบดีลงไประงับการชุมนุมนั้น เป็นเวลาเกือบ 14 น. แล้ว การแสดงเรื่องแขวนคอนั้นเลิกไปแล้ว ก่อนหน้านั้นมีการประชุมคณบดีจนเกือบ 13 น. อธิการบดีรับประทานอาหารกลางวันที่ตึกเศรษฐศาสตร์ราวๆ 13 น. ถึง 13.30 น. พอกลับจากตึกเศรษฐศาสตร์จะไปห้องอธิการบดี เห็นว่ามีการประชุมกัน เป็นอุปสรรคต่อการสอบไล่ของนักศึกษาจึงได้ไปห้าม

8. รุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ต่างๆ หลายฉบับได้ลงรูปถ่ายการชุมนุมและการแสดงแขวนคอนั้น จากรูปหนังสือต่างๆ เห็นว่านายอภินันท์นั้น หน้าตาละม้ายมกุฎราชกุมารมาก แต่ไม่เหมือนทีเดียว แต่ในภาพของหนังสือพิมพ์ดาวสยาม (ซึ่งเป็นปรปักษ์กับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาตลอดมา) รูปเหมือนมาก จนกระทั่งมีผู้สงสัยว่าดาวสยามจะได้ไปจงใจแต่งรูปให้เหมือน

เรื่องนี้สถานีวิทยุยานเกราะ (ซึ่งก็เป็นปรปักษ์กับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา และเคยเป็นผู้บอกบทให้หน่วยกระทิงแดงโจมตีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยอาวุธและลูกระเบิด เมื่อสิงหาคม 2518) ก็เลยนำเอามาเป็นเรื่องสำคัญ กล่าวหาว่าศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ เจตนาจะทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงได้พยายามแต่งหน้านักศึกษาให้เหมือนมกุฎราชกุมารแล้วนำไปแขวนคอ ในการกระจายเสียงของยานเกราะนั้น ได้มีการยั่วยุให้ฆ่านักศึกษาที่ชุมนุมกันอยู่ในธรรมศาสตร์นั้นเสีย ยานเกราะได้เริ่มโจมตีเรื่องนี้เวลาประมาณ 18 น. ในวันอังคารที่ 5 ตุลาคม และได้กระจายเสียงติดต่อกันมาทั้งคืนวันอังคารต่อเนื่องถึงเช้าวันพุธที่ 6 ตุลาคม

@ การชุมนุมประท้วง 4 ตุลาคม 2519

9. ส่วนทางศูนย์กลางนิสิตนักศึกษานั้น ได้จัดให้มีการชุมนุมที่สนามหลวงประท้วง (1) ให้รัฐบาลจัดการกับจอมพลถนอม กิตติขจร (2) ให้จับผู้ที่เป็นฆาตกรแขวนคอที่นครปฐมมาลงโทษ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม เป็นการทดลอง "พลัง" ตามที่นักศึกษากล่าว แล้วเลิกวันเสาร์ที่ 2 อาทิตย์ที่ 3 เพราะมีตลาดนัดที่ท้องสนามหลวง แล้วนัดชุมนุมกันอีกในเย็นวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม

การชุมนุมประท้วงดังกล่าว ได้ทราบจากนักศึกษาว่ากำหนดจัดกันในช่วงต้นเดือนตุลาคมเพราะเป็นระยะที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่เปลี่ยนตำแหน่งที่สำคัญๆ เนื่องจากมีผู้ครบเกษียณอายุไปในวันที่ 30 กันยายน ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาสืบทราบมาว่าอาจจะมีการกระทำรัฐประหารโดยนายทหารผู้ใหญ่บางกลุ่มที่ไม่พอใจการสับเปลี่ยนตำแหน่งที่สำคัญ จึงต้องการจะแสดงพลังนักศึกษาเป็นการป้องกันการรัฐประหาร ในขณะเดียวกันก็เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลกระทำสองอย่างข้างต้น

ฝ่ายทางสหภาพกรรมกรก็กำหนดว่า จะมีการสไตรค์สนับสนุนการประท้วงเพียง 1 ชั่วโมงเป็นชั้นแรกในวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม

เรื่องการชุมนุมประท้วงของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาที่สนามหลวงนั้น มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับไปถาม ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีว่า ถ้าเขาจะมาชุมนุมกันที่ในธรรมศาสตร์ นายกรัฐมนตรีเห็นเป็นอย่างไร นายกรัฐมนตรีตอบว่า ถ้าย้ายไปชุมนุมกันที่ธรรมศาสตร์ก็จะดีมาก (หนังสือพิมพ์ต่อมาได้มาถามอธิการบดีธรรมศาสตร์ว่าเห็นเป็นอย่างไร ในคำตอบของนายกรัฐมนตรี อธิการบดีตอบว่า ไม่ดีเลย)

10. ในการชุมนุมประท้วงที่สนามหลวง เย็นวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคมนั้น เหตุการณ์ก็เหมือนกับการชุมนุมประท้วงในเดือนสิงหาคม เมื่อจอมพลประภาสเข้ามา คือพอฝนตกเข้าผู้ชุมนุมก็หักประตูทางด้านสนามหลวงเข้ามาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่เวลา 20 น.

ทางผู้บริหารมหาวิทยาลัย ได้ไปแจ้งความต่อตำรวจชนะสงครามตามระเบียบ ทางตำรวจชนะสงครามได้ส่งกำลังตำรวจประมาณ 40 คน ไปคุมเหตุการณ์ที่ด้านวัดมหาธาตุร่วมกับรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา ในการชุมนุมประมาณ 25,000-40,000 คนนั้นตำรวจ 40 คน คงจะทำอะไรมิได้นอกจากจะใช้อาวุธห้ามผู้ชุมนุมมิให้เข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็จะเกิดจลาจล ซึ่งมิใช่สิ่งที่ใครๆ หรือรัฐบาลต้องการ ฉะนั้นจึงเป็นภาวะที่ต้องจำยอมให้เข้ามาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ฝ่ายกระทิงแดงและนวพลนั้นก็มาชุมนุมกันอยู่ที่วัดมหาธาตุอีกมุมหนึ่งแต่เนื่องจากมีกำลังน้อยเพียงไม่กี่สิบคนจึงมิได้ทำอะไร

ทางด้านศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา ก็ชุมนุมค้างคืนอยู่ในธรรมศาสตร์ตลอดมาถึงเช้าวันพุธที่ 6 ตุลาคม ซึ่งเป็นเวลาที่เกิดเหตุ

11. ทางฝ่ายผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อมีประชาชนจำนวนมากไหลบ่ากันเข้ามาในเวลา 20 น. ของวันจันทร์ 4 ตุลาคม ก็ได้โทรศัพท์หารือกับ ดร.ประกอบ หุตะสิงห์ องคมนตรี นายกสภามหาวิทยาลัย และด้วยความเห็นชอบของ ดร.ประกอบ ได้สั่งปิดมหาวิทยาลัยทันทีเพื่อป้องกันมิให้นักศึกษาอื่น และอาจารย์ ข้าราชการมหาวิทยาลัยต้องเสี่ยงต่ออันตราย (คราวจอมพลประภาสเข้ามาได้สั่งปิดมหาวิทยาลัยเมื่อมีการยิงกัน และทิ้งระเบิดตายไป 2 ศพแล้ว) และได้โทรศัพท์หารือกับรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยแห่งรัฐ ก็ได้รับความเห็นชอบ จึงมีหนังสือเป็นทางการรายงานท่านนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการทบวงอีกโสตหนึ่ง

ครั้นแล้วผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ย้ายสำนักงานไปอาศัยอยู่ที่สำนักงานการศึกษาแห่งชาติชั่วคราว ทิ้งเจ้าหน้าที่รักษาทรัพย์สินและอาคารของมหาวิทยาลัยไว้ประมาณ 40 – 50 คน และได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้นตลอดเวลาโดยทางโทรศัพท์และทางอื่น

@ การปลุกระดมมวลชน และกฎหมู่

12. ฝ่ายยานเกราะและสถานีวิทยุในเครือของยานเกราะก็ระดมปลุกปั่นให้ผู้ฟังเคียดแค้นนิสิตนักศึกษาประชาชน ที่ประท้วงอยู่ในธรรมศาสตร์ตลอดเวลา โดยอ้างว่าจะทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยระดมหน่วยกระทิงแดง นวพล และลูกเสือชาวบ้านให้กระทำการ 2 อย่าง คือ (1) ทำลายพวก "คอมมิวนิสต์" ที่อยู่ในธรรมศาสตร์ (2) ประท้วงรัฐบาลที่จัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยไม่ให้นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมบุญ ศิริธร ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

การทำลายพวก "คอมมิวนิสต์" ในธรรมศาสตร์นั้นได้ใช้ให้กระทิงแดงและอันธพาล ใช้อาวุธยิงเข้าไปในธรรมศาสตร์ตั้งแต่เที่ยงคืนจนรุ่งขึ้นของวันพุธที่ 6 ตุลาคม ฝ่ายทางธรรมศาสตร์ก็ได้ใช้อาวุธปีนยิงตอบโต้เป็นครั้งคราว

13. การปลุกระดมของยานเกราะได้ผล ทางด้านรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นการด่วนในตอนดึกของวันอังคารที่ 5 ตุลาคม และได้มีมติให้นำตัวหัวหน้านักศึกษาและนายอภินันท์ ผู้แสดงละคอนแขวนคอมาสอบสวน

พอเช้าตรู่ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม นายสุธรรม เลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา พร้อมด้วยผู้นำนักศึกษาจำนวนหนึ่งกับนายอภินันท์นักแสดงละคอนแขวนคอ ได้ไปแสดงความบริสุทธิ์ใจที่บ้านนายกรัฐมนตรี เผอิญนายกรัฐมนตรีออกจากบ้านไปทำเนียบเสียก่อนนายกรัฐมนตรีจึงได้โทรศัพท์แจ้งให้อธิบดีกรมตำรวจคุมตัวนายสุธรรม นายอภินันท์ และพวกไปสอบสวน ผู้เขียนบันทึกในขณะนี้ยังไม่ทราบผลของการสอบสวนดังกล่าว

14. การบุกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยตำรวจ ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นการกระทำของรัฐบาลโดยเอกเทศมิได้มีการหารือกับอธิการบดีเลย แม้ว่าในตอนดึกของวันอังคารที่ 5 ตุลาคม อธิการบดีจะได้พูดโทรศัพท์กับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีก็ตาม นายกรัฐมนตรีมิได้แจ้ง ให้อธิการทราบว่ารัฐบาลจะเรียกตัวหัวหน้านิสิตนักศึกษาหรือนายอภินันท์มาสอบสวน ถ้านายกรัฐมนตรีประสงค์เช่นนั้น ก็มีวิธีที่จะเรียกตัวได้ ให้มาสอบสวนโดยสันติไม่ต้องใช้กำลังรุนแรงจนควบคุมมิได้ และจนเกินกว่าเหตุ

15. การโจมตีนักศึกษาประชาชนที่ธรรมศาสตร์ซึ่งเริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนโดยมีการยิงเข้าไปในมหาวิทยาลัยจากภายนอกนั้น ได้ใช้กำลังตำรวจล้อมมหาวิทยาลัยตั้งแต่ 03.00 น. และได้เริ่มยิงเข้าไปอย่างรุนแรงโดยตำรวจตั้งแต่เวลา 05.00 น ผู้ที่อยู่ในธรรมศาสตร์ขอให้ตำรวจหยุดชั่วคราว เพื่อให้ผู้หญิงที่อยู่ในมหาวิทยาลัยได้มีโอกาสออกไป ตำรวจก็ไม่ฟัง

@ อาวุธในธรรมศาสตร์

16. ในการบุกธรรมศาสตร์นั้น วิทยุยานเกราะประโคมว่าภายในธรรมศาสตร์มีอาวุธร้ายแรง เช่น ลูกระเบิด ปืนกลหนักและอาวุธร้ายแรงอื่นๆ ข้อนี้เป็นการกล่าวหาโดยปราศจากความจริงตั้งแต่ 2517 มาแล้ว แต่เมื่อมีเหตุการณ์ที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้แต่ละครั้ง เช่น เมื่อกระทิงแดงบุกในเดือนสิงหาคม 2518 หรือเมื่อตำรวจเข้าไปกวาดล้าง หลังจากการชุมนุมประท้วงจอมพลประภาส ก็มิได้มีหลักฐานประการใดว่าได้มีอาวุธสะสมไว้ในธรรมศาสตร์

ถึงคราวนี้ก็ดี สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาแสดงว่าเป็นอาวุธที่จับได้ในธรรมศาสตร์ก็มีแต่ปืนยาวสองกระบอก ปืนพกและลูกระเบิด หาได้มีอาวุธร้ายแรงขนาดปืนกลไม่ เป็นเรื่องที่สร้างข้อกล่าวหาจากอากาศธาตุทั้งสิ้น

ตั้งแต่ปลายปี 2517 เป็นต้นมา นักการเมือง และหัวหน้านักศึกษาบางคนมีความจำเป็นต้องพกอาวุธไว้ป้องกันตัว เพราะหน่วยกระทิงแดง และตำรวจ ทหาร ฆาตกรมักจะทำร้ายหัวหน้ากรรมกร หัวหน้าชาวนาชาวไร่ หัวหน้านักศึกษาและนักการเมืองอยู่เนืองๆ และการฆ่าบุคคลเหล่านี้ทางตำรวจไม่เคยหาตัวคนร้ายได้(ขณะเดียวกันถ้าตำรวจฆ่าตำรวจ หรือมีผู้พยายามฆ่านักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ตำรวจจับคนร้ายได้โดยไม่ชักช้า) พูดไปแล้ว การมีอาวุธไว้ป้องกันตัว ในเมื่อรู้ว่าจะเสี่ยงต่ออันตรายก็มีเหตุผลพอสมควร

ระหว่างคืนวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม จนถึงเช้าวันพุธที่ 6 ตุลาคมนั้น นักศึกษาและประชาชนที่เข้ามาชุมนุมในธรรมศาสตร์ มีโอกาสที่จะนำอาวุธเหล่านั้น เข้าไปในมหาวิทยาลัยตลอดเวลา น่าเสียดายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมิได้ตั้งด่านสกัดค้นอาวุธทั้งทางด้านผู้ชุมนุมประท้วง และฝ่ายกระทิงแดงเสียแต่ต้นมือ และเท่าที่ปรากฏเป็นข้อเท็จจริงตลอดมา ฝ่ายกระทิงแดงได้พกอาวุธร้ายในที่สาธารณะเนืองๆ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่กล้าห้ามหรือตรวจค้น

ถึงกระนั้นก็ดี ผู้เขียนบันทึกนี้เห็นว่าการชุมนุมประท้วงทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตามต้องกระทำโดยสันติและปราศจากอาวุธ ซึ่งเป็นการชุมนุมที่ชอบด้วยกฎหมาย และรับรองโดยรัฐธรรมนูญ

17. จากการ "สอบสวน" และ "สืบสวน" ของตำรวจและทางการ เท่าที่ปรากฏในเวลาที่เขียนบันทึกนี้มีข้อกล่าวหาว่าในธรรมศาสตร์มีอุโมงค์อยู่หลายแห่งแต่เจ้าหน้าที่ก็มิได้แสดงภาพของอุโมงค์ให้ดูเป็นหลักฐาน เป็นการปั้นน้ำเป็นตัวสร้างข่าวขึ้นแท้ๆ คุณดำรง ชลวิจารณ์ อธิบดีกรมโยธาธิการและประธานกรรมการสำรวจความเสียหายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้แจงเมื่อกลางเดือนตุลาคมว่า ไม่พบอุโมงค์ในธรรมศาสตร์เลย และย้ำว่าไม่มี เป็นข่าวลือทั้งนั้น อุทิศ นาคสวัสดิ์ กล่าวในโทรทัศน์ถึงห้องแอร์และส้วมที่อยู่บนเพดานตึก คงจะหมายถึงชั้นบนสุดของตึกโดม ซึ่งก็ไม่มีอะไรเร้นลับประการใด และใครเล่านอกจากอุทิศ นาคสวัสดิ์จะไปใช้ส้วมบนเพดานตึก นอกจากนั้นอุทิศยังอุตส่าห์พูดว่า บรรดาผู้ที่ไปชุมนุมในธรรมศาสตร์นั้นใช้รองเท้าแตะเป็นจำนวนมากแสดงว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เพราะผู้ก่อการร้ายใช้รองเท้าแตะ ถ้าเป็นเช่นนี้คนในเมืองไทย 40 ล้านคน ซึ่งใช้รองเท้าแตะก็เป็นผู้ก่อการร้ายหมด ที่กล่าวถึงอุทิศ นาคสวัสดิ์นั้น เป็นตัวอย่างของโฆษกฝ่ายยานเกราะเพียงคนเดียวคนอื่นและข้อใส่ร้ายอย่างอื่นทำนองเดียวกันยังมีอีกมากที่ใช้ความเท็จกล่าวหาปรปักษ์อย่างไม่มีความละอาย

@ กฎหมู่ทำลายประชาธิปไตย

18. ข้อเรียกร้องอีกข้อหนึ่งของยานเกราะและผู้ที่อยู่เบื้องหลังยานเกราะคือเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งนายสมัครและนายสมบุญเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยและให้ขับไล่รัฐมนตรี "ฝ่ายซ้าย" 3 คน ออก คือ นายสุรินทร์ มาศดิตถ์ นายชวน หลีกภัย และนายดำรง ลัทธพิพัฒน์ เรื่องนี้ยานเกราะเจ็บใจนักเพราะเมื่อ ม.ร.ว.เสนีย์ ลาออกในเดือนกันยายนนั้น สถานีวิทยุยานเกราะได้ระดมจ้างและวานชาวบ้าน มาออกอากาศเป็นเชิงว่าเป็นมติมหาชน คนที่จ้างและวานมาให้พูดนั้นพูดเกือบเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ ม.ร.ว.เสนีย์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่ให้กำจัดรัฐมนตรีที่ชั่วและเลวออก การกลับกลายเป็นว่า ม.ร.ว.เสนีย์ นายกรัฐมนตรีกลับเอานายสมัคร และนายสมบุญ ออกไป เป็นเชิงว่านายสมัครและนายสมบุญซึ่งเป็นพรรคพวกกันยานเกราะนั้นเป็นคนเลวไป

19. ยานเกราะระดมกำลังเรียกร้องให้ลูกเสือชาวบ้าน นวพล กระทิงแดง และกลุ่มอื่น ๆ ในเครือ ชุมนุมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อเรียกร้องเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล การเรียกร้องกระทำตลอดคืนวันอังคารที่ 5 คาบเช้าวันพุธที่ 6 แล้วก็สามารถระดมพลเพื่อการเรียกร้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต่อไปจนถึงเวลาบ่าย ม.ร.ว.เสนีย์จึงยอมจำนน และรับว่าจะคิดจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ตามคำเรียกร้อง

ต่อมาอีกประมาณ 1 หรือ 2 ชั่วโมงก็มีการยึดอำนาจกระทำรัฐประหารขึ้นในเวลา 18 น.

20. เป็นที่น่าสังเกตว่า ตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมาผู้ที่เป็นปรปักษ์กับพลังนักศึกษา กรรมกรและชาวไร่ชาวนา พยายามกล่าวหาว่านักศึกษา กรรมกรและชาวไร่ชาวนา "ใช้วิธีปลุกระดมมวลชน" และ "ใช้กฎหมู่บังคับกฎหมาย" การกระทำของยานเกราะ กระทิงแดง นวพล และลูกเสือชาวบ้าน และกลุ่มต่าง ๆ นั้นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าไม่ใช่วิธีปลุกระดมมวลชน และไม่ใช่การใช้กฎหมู่บวกกับอาวุธมาทำลายกฎหมาย

เรื่องที่กล่าวมานี้มิใช่จะเริ่มเกิดขึ้นใน 2519 แต่เริ่มมาตั้งแต่ 2517 กระทิงแดงเป็นหน่วยที่ฝ่ายทหาร กอ.รมน.จัดตั้งขึ้นจากนักเรียนอาชีวะ ซึ่งบางคนก็เรียนจบไปแล้ว บางคนก็เรียนไม่จบ บางคนก็ไม่เรียน กอ.รมน. เป็นผู้จัดตั้งขึ้น เพื่อหักล้างพลังศึกษาตั้งแต่พวกเรากำลังร่างรัฐธรรมนูญอยู่ หนังสือพิมพ์ต่างประเทศลงข่าวอยู่เนือง ๆ และระบุชื่อพันเอกสุตสาย หัสดิน ว่าเป็นผู้สนับสนุนแต่ก็ไม่มีการปฏิเสธข่าวกอ.รมน.ไม่แต่เป็นผู้จัดตั้ง เป็นผู้ฝึกอาวุธให้ นำอาวุธมาให้ใช้ และจ่ายเงินเลี้ยงดูให้จากเงินราชการลับ และตั้งแต่กลางปี 2517 เป็นต้นมา หน่วยกระทิงแดงก็พกอาวุธปืนและลูกระเบิดประเภทต่าง ๆ อย่างเปิดเผย ไม่มีตำรวจหรือทหารจะจับกุมหรือห้ามปรามไม่ว่าจะมีการประท้วงโดยสันติอย่างใดโดยนิสิตนักศึกษา กระทิงแดงเป็นต้องใช้อาวุธขู่เข็ญเป็นการต่อต้านทุกครั้งนับตั้งแต่การประท้วงบทบัญญัติบางมาตราของรัฐธรรมนูญ ในปี 2517 การประท้วงฐานทัพอเมริกันใน 2517 – 2518 การบุกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในเดือนสิงหาคม 2518 การประท้วงการกลับมาของจอมพลประภาส และจอมพลถนอม ตลอดมาแต่ละครั้งจะต้องมีผู้บาดเจ็บล้มตายเสมอ แม้แต่ช่างภาพ หนังสือพิมพ์ที่พยายามถ่ายภาพกระทิงแดงพกอาวุธ ก็ไม่วายถูกทำร้าย ในการเลือกตั้งในเมษายน 2519 กระทิงแดงก็มีส่วนขู่เข็ญผู้สมัครรับเลือกตั้ง และในการโจมตีทำร้ายพรรคบางพรรคที่เขาเรียกกันว่าฝ่ายซ้าย

21. สมควรจะกล่าวถึง กอ.รมน. ในที่นี้ เพราะนอกจากจะเป็นผู้ชักกระทิงแดงให้ปฏิบัติการรุนแรงแล้ว ยังมีส่วนในการจัดตั้งกลุ่มและหน่วยอื่น ๆ เป็นประโยชน์แก่กลุ่มทหารด้วย เช่น นวพล ทั้งนี้โดยใช้เงินงบประมาณแผ่นดินประเภทราชการลับตลอดเวลา

กอ.รมน. เดิมมีชื่อว่า บก.ปค. แปลว่ากองบัญชาการปราบคอมมิวนิสต์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น กอ.ปค. กองอำนวยการปราบคอมมิวนิสต์ ต่อมาเมื่อรัฐบาลมีนโยบายจะคบกับประเทศคอมมิวนิสต์ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ เป็นองค์กรที่จอมพลประภาสตั้งขึ้น และเป็นมรดกตกทอดต่อมาถึงทุกวันนี้

ความสำเร็จของ กอ.รมน. วัดได้ดังนี้ เมื่อแรกตั้งประมาณ 10 ปีกว่ามาแล้ว เงินงบประมาณสำหรับ บก.ปค.มีอยู่ประมาณ 13 ล้านบาท และเนื้อที่ในประเทศไทยที่เป็นแหล่งคอมมิวนิสต์ ในการปฏิบัติงานของ บก.ปค. มีอยู่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในปัจจุบันมี กอ.รมน. มีงบประมาณกว่า 800 ล้านบาท และเนื้อที่ที่ประกาศเป็นแหล่งคอมมิวนิสต์มีอยู่เกือบทั่วราชอาณาจักรประมาณ 30 กว่าจังหวัด

การปราบคอมมิวนิสต์ของ กอ.รมน. เป็นวิธีลับ ที่ปราบคอมมิวนิสต์จริงก็คงมี แต่ที่ปราบคนที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ก็มีมาก ตั้งแต่ก่อน 2516 มาแล้ว เรื่องถังแดงที่พัทลุง เรื่องการรังแกชาวบ้านทุกหนทุกแห่งมีอยู่ตลอด แล้วใส่ความว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จึงทำให้ราษฎรเดือดร้อนทั่วไป และที่ทนความทารุณโหดร้ายต่อไปไม่ได้เข้าป่ากลายเป็นพวกคอมมิวนิสต์ไปก็มากมาย

รัฐสภาประชาธิปไตยในปี 2517-2518 และ 2519 ในเวลาพิจารณางบประมาณของ กอ.รมน.แต่ละปี ได้พยายามตัดงบประมาณออก หรือถ้าไม่ตัดออกก็ให้ตั้งเป็นงบราชการเปิดเผย แทนที่จะเป็นงบราชการลับ ได้ประสบความสำเร็จเพียงบางส่วน กอ.รมน. ยังสามารถใช้เงินเกือบร้อยล้านบาทแต่ละปีเป็นงบราชการลับ ทำการเป็นปรปักษ์ต่อระบบประชาธิปไตยตลอดมา

22. นวพล ถือกำเนิดจาก กอ.รมน. เช่นเดียวกับกระทิงแดง แต่เป็นหน่วยสงครามจิตวิทยา ไม่ต้องใช้อาวุธเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่ทำงานร่วมกับกระทิงแดง เป็นองค์กรที่พยายามรวบรวมคหบดี นายทุน ภิกษุที่ไม่ใคร่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมให้ร่วมกันต่อต้านพลังนิสิตนักศึกษา และกรรมกร วิธีการก็คือขู่ให้เกิดความหวาดกลัวว่าทรัพย์สมบัติต่างๆ ของตนนั้นจะสูญหายไปถ้ามีการเปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นไปตามระบบประชาธิปไตย เครื่องมือของนวพลคือ การประชุม การชุมนุม การเขียนบทความต่าง ๆ นายวัฒนา เขียววิมล ซึ่งเป็นผู้จัดการนวพลเป็นผู้ที่พลเอกสายหยุดชักจูงมารับใช้ กอ.รมน. จากอเมริกา มีผู้ที่เคยหลงเข้าใจผิดว่านวพลจะสร้างสังคมใหม่ให้ดีขึ้นด้วยวิธีสหกรณ์เช่นคุณสดกูรมะโรหิตต้องประสบความผิดหวังไป เพราะนวพลประกาศว่าจะสร้างสังคมใหม่ แต่แท้จริงต้องการสงวนสภาวะเดิมเพื่อประโยชน์ของนายทุนและขุนศึกนั่นเอง

23. ลูกเสือชาวบ้าน ก่อตั้งขึ้นมาโดยแสดงวัตถุประสงค์ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่แท้จริงเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มนายทุนและขุนศึก โดยเห็นได้จากการเลือกตั้งในเมษายน 2519 ลูกเสือชาวบ้านมีส่วนในการชักจูงให้สมาชิกและชาวบ้านทำการเลือกตั้งแบบลำเอียง วิธีนี้เป็นวิธีที่อเมริกันเคยใช้อยู่ในเวียดนาม แต่ไม่สำเร็จ มาสำเร็จที่เมืองไทย เพราะใช้ความเท็จเป็นเครื่องมือ ว่าเป็นการจัดตั้งเพื่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ กระทรวงมหาดไทยมีส่วนสำคัญในการจัดตั้งลูกเสือชาวบ้านขึ้น และมักจะใช้คหบดีที่มั่งคั่งเป็นผู้ออกเงินเป็นหัวหน้าลูกเสือ การชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 6 ตุลาคมของลูกเสือชาวบ้านเป็นหลักฐานอย่างชัด ในวัตถุประสงค์ของขบวนการนี้

24. นอกจากกระทิงแดง นวพล และลูกเสือชาวบ้าน ฝ่ายกอ.รมน. และมหาดไทยยังใช้กลุ่มต่างๆ เรียกชื่อต่างๆ อีกหลายกลุ่ม บางกลุ่มเป็นพวกกระทิงแดงหรือนวพลแอบแฝงมา เช่น ค้างคาวไทย ชุมนุมแม่บ้าน ผู้พิทักษ์ชาติไทย เป็นต้นเครื่องมือการปฏิบัติงานของกลุ่มเหล่านี้ได้แก่ บัตรสนเท่ห์ ใบปลิว โทรศัพท์ขู่เข็ญ เป็นต้น

25. ฆาตกรรมทางการเมืองได้เริ่มมาตั้งแต่ กลางปี 2517 โดยผู้แทนชาวไร่ชาวนาและกรรมกร ถูกลอบทำร้ายทีละคน สองคนต่อมาก็ถึงนักศึกษา เช่น อมเรศ และนักการเมือง เช่น อาจารย์บุญสนอง บุณโยทยาน แต่ละครั้งตำรวจไม่สามารถหาตัวคนร้ายได้จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าตำรวจคงจะมีส่วนร่วมแน่ๆ เพราะถึงที่มีผู้ร้ายทำร้ายตำรวจ หรือนักการเมืองฝ่ายขวา ตำรวจจับได้โดยไม่ชักช้า

26. ในตอนที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ได้เริ่มมีการครอบคลุมสื่อมวลชน คือหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ทางวิทยุและโทรทัศน์นั้น พลตรีประมาณ อดิเรกสาร รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคชาติไทยเป็นผู้คุมอยู่ผู้ที่พูดวิทยุและโทรทัศน์ได้ต้องเป็นพวกของตนถ้าไม่ใช่พวกไม่ยอมให้พูดและต้องโจมตีนักศึกษา กรรมกร ชาวนา อาจารย์มหาวิทยาลัยขาประจำเรื่องนี้ได้แก่ ดุสิต ศิริวรรณ ประหยัด ศ.นาคะนาท ธานินทร์ กรัยวิเชียร อุทิศ นาคสวัสดิ์ ทมยันตี อาคม มกรานนท์ พ.ท.อุทาร สนิทวงศ์ เป็นต้น และการครอบคลุมเช่นนี้มีมาจนกระทั่งทุกวันนี้

27. นิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่มีเจตนาบริสุทธิ์ ต้องการประชาธิปไตย ต้องการช่วยเหลือผู้ยากจน แก้ไขความอยุติธรรมในสังคม ฉะนั้นพลังนิสิตนักศึกษาจึงเป็นพลังที่สำคัญสำหรับประชาธิปไตย และข้อกล่าวหาว่านิสิตนักศึกษาทำลายชาตินั้น เป็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนป้ายสีเพื่อทำลายพลังที่สำคัญนั้น แต่ในสภาวการณ์ในปี 2518 – 19 ฝ่ายนิสิตนักศึกษาก็ไม่มีวิธีการผิดแผกไปจากตุลาคม 2516 เมื่อทำงานได้ผลใน 2516 นักการเมืองต่างๆ พากันประจบนิสิตนักศึกษา อยากได้อะไรก็พยายามจัดหาให้ถึงกับสนับสนุนให้ออกไปตามชนบทเพื่อสอนประชาธิปไตย ในโลกนี้ไม่มีที่ไหน ใครจะสอนประชาธิปไตยกันได้และนักศึกษาก็โอหังเมื่อออกไปตามชนบทก็สร้างศัตรูไว้โดยไปด่าเจ้าหน้าที่ คหบดี ชาวบ้านต่างๆ ต่อมานักศึกษาก็ยังคิดว่าพลังของตนนั้นมีพอที่จะต่อต้านองค์กรต่างๆ ใหม่ๆ ของ กอ.รมน. มหาดไทย และนายทุนขุนศึก จับเรื่องต่างๆ ทุกเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่ พร่ำเพรื่อจนประชาชนเกิดความเบื่อหน่าย

เช่น ชุมนุมกันทีไรก็ต้องมีการด่ารัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลไหน เรื่องการถอนทหารอเมริกันก็จัดชุมนุมอีก แม้ว่ารัฐบาลจะได้สัญญาว่าจะมีกำหนดถอนไปหมดแน่การจัดนิทรรศการก็จัดแต่เฉพาะเป็นการโอ้อวดประเทศคอมมิวนิสต์ เป็นต้น ที่ที่นักศึกษาไม่มีความเกรงใจคือในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใช้มหาวิทยาลัยพร่ำเพรื่อจนเกินไป และทำให้มหาวิทยาลัยล่อแหลมต่ออันตรายแห่งเดียว แทนที่จะกระจายฐานของนักศึกษาให้แพร่หลายออกไป ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีเรื่องต้องขัดแย้งกับนักศึกษามากครั้งบ่อยที่สุด แต่ที่สำคัญที่สุดนั้นคือ ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแทนที่จะเปลี่ยนวิธีการ ยังใช้วิธีการเดิม แทนที่จะปลูกนิยมในหมู่ประชาชน กลับนึกว่าประชาชนเข้าข้างตนอยู่เสมอ แทนที่จะบำรุงพลังให้กล้าแข็งขึ้น กลับทำให้อ่อนแอลง

@อธิการบดีและที่ประชุมอธิการบดี

28. เมื่อมีข่าวว่าจอมพลถนอมจะเข้าประเทศไทยนั้น ผู้เขียนได้รับบทเรียนจากคราวที่จอมพลประภาสเข้ามาเมืองไทย เดือนสิงหาคม จึงได้เห็นว่า มหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะต้องได้รับความกระทบกระเทือนแน่ จึงได้เรียกประชุมอธิการบดีทั้งหลายที่ทบวงมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโดยรัฐมนตรีทบวงเห็นชอบด้วย ที่ประชุมอธิการบดีได้มีมติตอนต้นเดือนกันยายน ให้เสนอขอให้รัฐบาลพยายามกระทำทุกอย่าง มิให้จอมพลถนอมเข้ามาในประเทศไทย เพราะจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการศึกษาและจะทำให้สูญเสียการเรียน ในขณะเดียวกันก็มีข้อตกลงกันภายในระหว่างมหาวิทยาลัยทั้งหลายว่า ถ้าจอมพลถนอมเข้ามาจริงแต่ละมหาวิทยาลัยก็ต้องใช้ดุลพินิจว่ามหาวิทยาลัยใดควรปิดมหาวิทยาลัยใดควรเปิดต่อไป ทั้งได้วางมาตรการร่วมกันหลายประการ

29. เมื่อจอมพลถนอมเข้ามาจริงในวันที่ 19 กันยายน ผู้เขียนในฐานะประธานในที่ประชุมอธิการบดีสำหรับ 2519 ได้เรียกประชุมอธิการบดีอีกทันที ในวันที่ 20 กันยายน โดยมีรัฐมนตรีทบวงร่วมด้วย ที่ประชุมได้เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเรื่องจอมพลถนอมโดยด่วน และขอทราบว่ารัฐบาลจะทำเด็ดขาดอย่างใดเพื่อจะได้ชี้แจงให้นักศึกษาแต่ละมหาวิทยาลัยทราบเป็นการบรรเทาปัญหาทางด้านนักศึกษา แต่รัฐบาลหาได้ตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ เพียงแต่ออกแถลงการณ์อย่างไม่มีความหมายอะไร

ต่อมาได้มีการประชุมอธิการบดีเรื่องนี้อีก 2 ครั้ง แต่ละครั้งก็ไม่ได้รับคำตอบจากรัฐบาลเป็นที่แน่นอนอย่างไร ดร.นิพนธ์ ศศิธร รัฐมนตรีทบวง ได้ให้ความพยายามอย่างมาก และเห็นใจอธิการบดีทั้งหลายในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในอันที่จะให้คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีแสดงท่าทีอย่างไร

30. ในคืนวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม เมื่อนักศึกษาและประชาชนหักเข้ามาในธรรมศาสตร์นั้นผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ประกาศปิดมหาวิทยาลัยตามที่ได้กล่าวมาข้อ 11 ทั้งนี้เป็นไปตามข้อตกลงกันในที่ประชุมอธิการบดี

ต่อมา ในคืนวันอังคารที่ 5 ตุลาคม ผู้เขียนได้พูดโทรศัพท์กับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ในเวลาประมาณ 23 น. ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีตั้งใครที่มีอำนาจเจรจากับนักศึกษาไปเจรจาในธรรมศาสตร์เพราะที่แล้วมารัฐบาลเป็นเพียงฝ่ายรับคือเมื่อนักศึกษาต้องการพบนายกรัฐมนตรีจึงให้พบ ผู้เขียนเสนอว่าการตั้งผู้แทนนายกรัฐมนตรีไปเจรจากับนักศึกษานั้นจะช่วยให้การชุมนุมสลายตัวได้ง่ายขึ้นนายกรัฐมนตรีตอบว่าจะต้องนำความหารือในคณะรัฐมนตรีก่อน

หลังจากนั้นผู้เขียนเลยปลดโทรศัพท์ออกกระทั่งรุ่งเช้าเพราะเหตุว่าในคืนวันนั้นได้มีผู้โทรศัพท์ไปด่าผู้เขียนอยู่ตลอดคืน พอรุ่งเช้าก็เกิดเรื่อง

31. ก่อนหน้านั้นได้มีการนัดหมายอยู่แล้วว่า จะมีการประชุมสภามหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ในวันที่ 6 ตุลาคม เวลา 10 น. ดร.ประกอบ หุตะสิงห์ นายกสภามหาวิทยาลัย เป็นประธานในที่ประชุม ท้ายการประชุมนั้นผู้เขียนได้แถลงลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยอ้างว่าจะอยู่เป็นอธิการบดีต่อไปไม่ได้เพราะนักศึกษาและตำรวจได้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตายมากมายสภามหาวิทยาลัยก็แสดงความห่วงใยในความปลอดภัยส่วนตัวของอธิการบดี

32. ในตอนบ่ายมีเพื่อนฝูง อาจารย์หลายคน แนะให้ผู้เขียนเดินทางออกไปจากประเทศไทยเสีย เพราะยานเกราะก็ดี ใบปลิวก็ดี ได้ยุยงให้มีการลงประชาทัณฑ์อธิการบดีธรรมศาสตร์ ในฐานที่เป็นผู้ยุยงส่งเสริมนักศึกษา ให้ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้เขียนเห็นว่าอยู่ไปก็ไม่เป็นประโยชน์ ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ระวังกระสุน จึงตัดสินใจว่าจะไปอยู่กัวลาลัมเปอร์ ดูเหตุการณ์สักพักหนึ่งเพราะขณะนั้นยังไม่มีการรัฐประหาร

33. เครื่องบินไปกัวลาลัมเปอร์จะออกเวลา 18.15 น. ผู้เขียนได้ไปที่ดอนเมืองก่อนเวลาเล็กน้อย ปรากฏว่าเครื่องบินเสียต้องเลื่อนเวลาไป1 ชั่วโมง จึงนั่งคอยในห้องผู้โดยสารขาออก

ต่อมาปรากฏว่ามีผู้เห็นผู้เขียนและนำความไปบอกยานเกราะ ยานเกราะจึงประกาศให้มีการจับกุมผู้เขียน และยุให้ลูกเสือชาวบ้านไปชุมนุมที่ดอนเมือง ขัดขวางมิให้ผู้เขียนออกเดินทางไป

เวลาประมาณ 18.15 น. ได้มีตำรวจชั้นนายพันโทตรงเข้ามาจับผู้เขียนโดยที่กำลังพูดโทรศัพท์อยู่ ได้ใช้กิริยาหยาบคายตบหูโทรศัพท์ร่วงไปแล้วบริภาษผู้เขียนต่าง ๆ นานาบอกว่าจะจับไปหาอธิบดีกรมตำรวจผู้เขียนก็ไม่ได้โต้ตอบประการใด เดินตามนายตำรวจนั้นออกมา

บรรดา สห. ทหารอากาศและตำรวจกองตรวจคนเข้าเมืองได้ออกความเห็นว่า ไม่ควรนำตัวผู้เขียนออกไปทางด้านห้องผู้โดยสารขาออก เพราะมีลูกเสือชาวบ้านอยู่เป็นจำนวนมาก เกรงว่าจะมีการทำร้ายขึ้น จึงขออนุญาตทางกองทัพอากาศจะขอนำออกทางสนามกอล์ฟกองทัพอากาศ

ระหว่างที่คอยคำสั่งอนุญาตนั้น ตำรวจทั้งหลายได้คุมตัวผู้เขียนไปกักอยู่ในห้องกองตรวจคนเข้าเมืองทางด้านผู้โดยสารขาเข้า

34. เมื่อถูกกักตัวอยู่นั้น ตำรวจกองปราบฯ ได้ค้นตัวผู้เขียนก็ไม่เห็นมีอาวุธแต่อย่างใด มีสมุดพกอยู่เล่มหนึ่ง เขาก็เอาไปตรวจและกำลังอ่านหนังสือ Father Brown ของ G.K. Chesterton อยู่เขาก็เอาไปตรวจ กระเป๋าเดินทางก็ตรวจจนหมดสิ้น

35. นั่งคอยคำสั่งให้เอาตัวไปคุมขัง อยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างนั้นได้ทราบแล้วว่ามีการปฏิวัติรัฐประหารขึ้น ก็นึกกังวลใจว่าเพื่อนฝูงจะถูกใส่ความได้รับอันตรายหลายคน ส่วนตัวของตัวเองนั้นก็ปลงตกว่าแม้ชีวิตจะรอดไปได้ก็คงต้องเจ็บตัว

ประมาณ 20 น. ตำรวจมาแจ้งว่ามีคำสั่งจากเบื้องบนให้ปล่อยตัวได้และให้เจ้าหน้าที่จัดหาเครื่องบินให้ออกเดินทางไปต่างประเทศ

ขณะนั้นเครื่องบินที่จะไปกัวลาลัมเปอร์หรือสิงคโปร์ออกไปเสียแล้ว มีแต่เครื่องบินไปยุโรปหรือญี่ปุ่น จึงตัดสินใจไปยุโรป

นายตำรวจที่เอาสมุดพกไปตรวจนำสมุดพกมาคืนให้ ผู้เขียนก็ขอบใจเขาแล้วบอกว่า คุณกำลังจะทำบาปอย่างร้าย เพราะผมบริสุทธิ์จริง ๆ นายตำรวจผู้นั้นกล่าวว่านักศึกษาที่เขาจับไปนั้น 3 คนให้การซัดทอดว่า ผู้เขียนเป็นคนกำกับการแสดงละคอนแขวนคอในวันจันทร์ที่ 4 โดยเจตนาทำลายล้างพระมหากษัตริย์และเติมด้วยว่านักศึกษาที่ให้การซัดทอดนั้นพวกกระทิงแดงเอาไฟจี้ที่ท้องจึง "สารภาพ" ซัดทอดมาถึงผู้เขียน

36. ระหว่างที่นั่งรอคำสั่งอยู่นั้น มีอาจารย์ผู้หญิงของธรรมศาสตร์ที่เป็นนวพลเข้ามานั่งอยู่ 2 คน นัยว่าต้องการเข้ามาเยาะเย้ย แต่ผู้เขียนจำเขาไม่ได้ เลยไม่ได้ผล และขณะนั้นก็มีคำสั่งให้ปล่อยตัวเดินทางได้แล้ว เข้าใจว่าอาจารย์ทั้งสองคือ อาจารย์ราตรี และอาจารย์ปนัดดา

ต่อมาอีกสักครู่ นายวัฒนา เขียววิมล ก็เข้ามาในห้องที่ผู้เขียนถูกคุมขังอยู่เคยรู้จักกันมาก่อนเขาจึงเข้ามาทักผู้เขียนก็ทักตอบแต่แล้วก็หันไปจัดการจองเครื่องบินกับเจ้าหน้าที่ นายวัฒนาอยู่สักครู่เล็กๆ ก็ออกไป

@ การปฏิวัติรัฐประหาร

37.คณะที่กระทำการปฏิวัติ เรียกตนเองว่า "คณะปฏิรูปการปกครอง"เพื่อมิให้ฟังเหมือนกับการ "ปฏิวัติ" ของจอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอมที่แล้วมา ซึ่งเป็นที่เบื่อหน่ายของประชาชนแต่ความจริงก็เป็นการปฏิวัติรัฐประหารนั่นเอง โดยทหารกลุ่มหนึ่ง โดยมีพลเรือนเป็นใจด้วย เพราะ (1) ได้มีการล้มรัฐธรรมนูญ (2) ได้มีการล้มรัฐสภา (3) ได้มีการล้มรัฐบาลโดยผิดกฎหมาย (4) คำสั่งของหัวหน้าคณะ "ปฏิรูป" เป็นกฎหมาย (5) มีการจับกุมปรปักษ์ทางการเมืองโดยพลการเป็นจำนวนมาก และยังมีลักษณะอื่นๆ ที่ไม่ผิดแผกแตกต่างไปจากการปฏิวัติรัฐประหารที่แล้วๆ มา

38. มีพยานหลักฐานแสดงว่า ผู้ที่ต้องการจะทำการรัฐประหารนั้น มีอยู่อย่างน้อย 2 ฝ่าย ฝ่ายที่กระทำรัฐประหารเมื่อเวลา 18 น. วันที่ 6 ตุลาคม กระทำเสียก่อน เพื่อต้องการมิให้ฝ่ายอื่นๆ กระทำได้ ข้อนี้อาจจะเป็นจริง เพราะปรากฏว่า พลเอกฉลาด หิรัญศิริ นักทำรัฐประหารถูกปลด และไปบวชอาศัยกาสาวพัสตร์อยู่ที่วัดบวรนิเวศเช่นเดียวกับจอมพลถนอม (วัดบวรนิเวศต่อไปนี้คงจะจำกันไม่ได้ ว่าแต่ก่อนเป็นวัดอย่างไร) และพลโทวิฑูร ยะสวัสดิ์ ก็รีบรับคำสั่งไปประจำตำแหน่งพลเรือนที่ประเทศญี่ปุ่น

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นปฏิวัติรัฐประหารอยู่วันยังค่ำ

39. ตามประเพณีการรัฐประหารของไทยในระยะ 20 ปีที่แล้วมา คณะรัฐประหารจัดให้มีการปกครองออกเป็น 3 ระยะ

(ก) ระยะที่ 1 เพิ่งทำการรัฐประหารใหม่ ๆ มีการล้มรัฐธรรมนูญล้มรัฐสภาจับรัฐมนตรี และศัตรูทางการเมืองประกาศตั้งหัวหน้าและคนรองๆ ไป ตั้งที่ปรึกษาฝ่ายต่าง ๆ เช่น การต่างประเทศ เศรษฐกิจ ฯลฯ ให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รัฐมนตรี ออกประกาศและคำสั่งต่าง ๆ เป็นต้น ระยะนี้เป็นระยะที่เผด็จการมากที่สุด

(ข) ระยะที่ 2 เป็นระยะที่มีธรรมนูญการปกครอง ตั้งคณะรัฐมนตรี ตั้งสภา ออกกฎหมายโดยสภา แต่ยังเป็นระยะที่เผด็จการอยู่มาก เพราะคณะรัฐมนตรีก็ดี รัฐสภาที่แต่งตั้งขึ้นก็ดีหัวหน้าปฏิวัติยังเป็นผู้คุมอยู่

(ค) ระยะที่ 3 เป็นระยะที่รัฐสภาแต่งตั้งนั้น ได้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จแล้ว จะมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร แต่หัวหน้าปฏิวัติยังสามารถบันดาลให้การเลือกตั้งนั้น ลำเอียงเข้าข้างตนเอง

แต่ระยะเวลาจะกินเวลาเท่าใดนั้น แล้วแต่หัวหน้าคณะปฏิวัติ เช่นสมัยจอมพลสฤษดิ์ระยะที่ 2 กินเวลากว่า 10 ปี

การจับกุมศัตรูทางการเมือง และใช้อำนาจเผด็จการนั้นกระทำได้ทุกเมื่อทุกระยะโดยอาศัยกฎหมายป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์และอาศัยธรรมนูญการปกครองหรือรัฐธรรมนูญ (ปกติ มาตรา 17)ให้อำนาจแก่หัวหน้าคณะปฏิวัติและนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มที่

40. ในการรัฐประหารปัจจุบัน ระยะที่ 1 กินเวลาตั้งแต่ 6 ตุลาคม ถึง 22 ตุลาคม นับแต่นั้นมาเราอยู่ในระยะที่ 2 ขณะนี้ แต่นายกรัฐมนตรีธานินทร์กรัยวิเชียร ยังขยายความต่อไปอีกว่า ระยะที่ 2 จะกินเวลา 4 ปี และระยะที่ 3 จะแบ่งเป็น 2 ตอน ตอนละ 4 ปี โดยจะกุมอำนาจไว้ต่อไปในระยะที่ 3 ตอนต้น "เพื่อให้เวลาประชาชนไทยสามารถเรียนรู้การใช้สิทธิตามระบบประชาธิปไตย"

41. การรัฐประหารปัจจุบันมีข้อแตกต่างจากการรัฐประหารที่แล้วมาอยู่ 3 ข้อใหญ่ๆ คือ

(1) หัวหน้าปฏิวัติไม่เป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง กลับแต่งตั้งพลเรือนเป็นนายกรัฐมนตรี และมีการแต่งตั้งล่วงหน้า 14 วัน

(2) ตามธรรมนูญการปกครองที่ประกาศใช้เมื่อ 22 ตุลาคม 2519 (เขาเรียกกันว่ารัฐธรรมนูญ) นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีมีอิสรภาพในการบริหารน้อยกว่าที่แล้วมาเพราะมีสภาที่ปรึกษา (ทหารล้วน) ค้ำอยู่ และ

(3) มีการเทิดทูนความเท็จในทางปฏิวัติมากกว่าคราวก่อน ๆ

42. ในการรัฐประหารแต่ละครั้งในประเทศไทย หัวหน้าปฏิวัติเป็นนายทหารบก คราวนี้หัวหน้าเป็นนายทหารเรือ และรองก็เป็นนายทหารอากาศ เป็นที่เข้าใจกันว่า พล.ร.อ.สงัดชลออยู่ เป็นผู้ที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมามากกว่า เพราะนิสัยใจคอและลักษณะการคุมกำลังนั้น คงจะไม่ทำให้คุณสงัดกระทำรัฐประหารได้เอง การที่รีบตั้งพลเรือนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่จะเป็นเสียเองก็ทำให้เกิดความฉงนมากขึ้นปัญหาที่มีผู้กล่าววิจารณ์กันมากก็คือ ใครเล่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารคราวนี้ ซึ่งรู้สึกว่า กระทำกันแบบรีบด่วน อาจจะวางแผนไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่รู้สึกว่ารีบจัดทำขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม หลังจากฆาตกรรมในธรรมศาสตร์นั่นเอง

จะว่าพวกของพลเอกฉลาดก็ไม่ใช่จะว่าพวกของพลโทวิฑูรก็ไม่ใช่จอมพลถนอมก็ยังไม่ออกหน้ามา และคงจะไม่แสดงหน้าออกมา จะเป็นใครเล่า เป็นประเด็นที่นักประวัติศาสตร์คงจะค้นหาความจริงได้

43. รัฐธรรมนูญ 22 ตุลาคม ก็ยังให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีอย่างกว้างขวาง เช่นจะใช้อำนาจตุลาการลงโทษผู้ใดก็ได้ตามอำเภอใจ ตามมาตรา 21 ซึ่งถอดมาจากมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองเดิม แต่คราวนี้มีสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีมาค้ำคอนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (มาตรา 18 และมาตรา 21) สภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ได้แก่ "คณะปฏิรูปการปกครอง"นั่นเอง คือเป็นกลุ่มนายทหารและตำรวจ (1 คน) ที่ยึดอำนาจเมื่อ 6 ตุลาคม 2519

44. มาตรา 8 ของ "รัฐธรรมนูญ" เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของบุคคลมีข้อความประโยคเดียว คือ "บุคคลมีสิทธิเสรีภาพภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย" และเราก็พอจะทราบว่าใครเป็นผู้บัญญัติกฎหมาย

นอกจากนั้น ในทางปฏิบัติเท่าที่เป็นมา ประชาชนจะไม่มีสิทธิ์ทราบความจริงอย่างไรเลย นอกจาก "ข้อเท็จจริง" ที่รัฐบาลอนุญาตให้ทราบได้ เพราะ "คณะปฏิรูป" ได้ตั้งกรรมการขึ้น 2 คณะ คณะหนึ่งเป็นผู้วินิจฉัยว่าจะอนุญาตให้หนังสือพิมพ์ใดบ้างออกตีพิมพ์ได้และอีกคณะหนึ่งเป็นผู้เซ็นเซอร์หนังสือพิมพ์ที่ออกได้ บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการทั้ง 2 คณะนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการกล่าวเท็จ เขียนเท็จทั้งนั้น และหนังสือพิมพ์ที่ได้รับอนุญาตให้ออกจำหน่ายได้ก็มีแต่หนังสือที่เชี่ยวชาญในความเท็จ ฉะนั้นในระยะนี้และระยะต่อไปนี้ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะหมดสิ้นเมื่อใด หนังสือพิมพ์ของเมืองไทยส่วนใหญ่จะมีแต่ความเท็จเป็นเกณฑ์ เชื่อถือไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น ดาวสยาม ลงข่าวว่าตำรวจตามจับนายคำสิงห์ ศรีนอกแล้ว ทางทหารได้หลักฐานยืนยันว่าคำสิงห์กับป๋วยกับเสน่ห์กับสุลักษณ์ ไปประชุมกันที่โคราชกับ เค จี บี เพื่อทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วลงรูปถ่ายหมู่มีฝรั่งอยู่ด้วย อ้างว่าเป็น เค จี บี (รัสเซีย) ความจริงนั้นรูปถ่ายหมู่ ถ่ายที่เขื่อนน้ำพรม การประชุมนั้นเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนผามอง ผู้ร่วมประชุมนอกจากอาจารย์มหาวิทยาลัย ชาวบ้าน ข้าราชการทั้งส่วนกลาง และท้องถิ่นแล้ว ยังมีผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตด้วย และคนที่ดาวสยามอ้างว่าเป็นรัสเซีย เค จี บี นั้น คือ นายสจ๊วต มีแซม ชาวอเมริกัน ศาสนาคริสเตียน นิกายเควกเก้อ ขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการสัมมนาของเควกเก้ออยู่ที่สิงคโปร์ เวลานี้กลับไปอเมริกาแล้ว

ความเท็จที่หนังสือพิมพ์เหล่านี้ค้าอยู่มีตลอดเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2517

ส่วนวิทยุโทรทัศน์นั้น ก็ยังค้าความเท็จอยู่ตลอดเวลาเช่นเดิม

ในคืนวันที่ 5 ต่อวันที่ 6 ตุลาคม สถานีวิทยุ ท.ท.ท. ได้พยายามเสนอข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงอย่างเป็นกลาง แต่สถานีวิทยุยานเกราะไม่พอใจ เพราะ ท.ท.ท. เสนอความจริง ทำให้การปลุกระดมของยานเกราะเสียหายจึงได้ประณาม ท.ท.ท. อยู่ตลอดเวลาด้วย ครั้นมีการรัฐประหารขึ้น ก็ได้มีการปลดผู้รับผิดชอบทาง ท.ท.ท. ทั้งวิทยุ และโทรทัศน์ออกโดยไม่มีเหตุผล

เป็นอันว่าจะหาความจริงจากหนังสือพิมพ์หรือวิทยุโทรทัศน์เมืองไทยมิได้เลยแม้แต่ข่าวว่าตำรวจหรือทหารได้จับใครต่อใครไปบ้างหรือใครข้ามไปลาว หรือใครทำอะไร อยู่ที่ไหน พูดว่าอย่างไร นอกจาก "ข่าว" ที่รัฐบาลป้อนให้

@ คณะรัฐมนตรี 22 ตุลาคม 2519

45. นายธานินทร์กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรีเป็นคนสะอาดบริสุทธิ์เท่าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการแผ่นดิน เป็นผู้ที่ได้ออกวิทยุโทรทัศน์แบบนิยม "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" และสอนกับเขียนหนังสือ เกี่ยวกับการต่อต้านปราบปรามคอมมิวนิสต์มากพอสมควร จนมีผู้กล่าวกันว่า เป็น "ขวาสุด"

เมื่อยังหนุ่มๆ อยู่ กลับจากศึกษาที่ประเทศอังกฤษใหม่ๆ นายธานินทร์เป็นผู้ที่รักการเขียนอยู่เป็นนิสัยแล้ว ได้เขียนบทความหลาย ๆ เรื่อง โดยอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมของไทย ครั้งนั้นวงการตุลการมีเสียงกล่าวหาว่านายธานินทร์เป็นคอมมิวนิสต์ จะด้วยเหตุนั้นกระมังที่มีปฏิกิริยาต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างไม่หยุดยั้ง

นายธานินทร์มีความรู้ดี มีสติปัญญาเฉียบแหลม และรู้ตัวว่าฉลาดและสามารถ ปัญหามีอยู่ว่าจะทนให้สภาที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีค้ำคออยู่ได้นานเท่าใด เฉพาะอย่างยิ่งถ้าสภาที่ปรึกษานั้นเข้าข้างคนทุจริตในราชการ หรือทำการทุจริตเสียเอง

46. ในคณะรัฐมนตรี ฝ่ายทหารสงวนตำแหน่งไว้ 3 ตำแหน่ง คือ รองนายกรัฐมนตรี 1 รัฐมนตรีกลาโหม 1 และรัฐมนตรีช่วยกลาโหม 1 ทั้ง 3ตำแหน่งนี้ไม่ต้องกล่าวถึง

รัฐมนตรีมหาดไทย ก็เหมาะสมกับฉายาของกระทรวงนี้ที่เราเรียกกันว่า กระทรวงมาเฟีย

รัฐมนตรีที่เป็นข้าราชการประจำ ไม่ถึงชั้นปลัดกระทรวงได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี 8 คน คือ องนายกรัฐมนตรี คนที่ 2 รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย รัฐมนตรีต่างประเทศพาณิชย์ยุติธรรม ศึกษาธิการ สาธารณสุข และทบวงมหาวิทยาลัย

รองนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 และรัฐมนตรียุติธรรม เป็นเพื่อนส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเลือกมาจากประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน รัฐมนตรีว่าการเกษตรเป็นข้าราชการบำนาญอายุ 77 ปี รัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรมเป็นข้าราชการบำนาญทหารอากาศ รัฐมนตรีว่าการคมนาคมเป็นเจ้าของรถเมล์ขาวมาแต่เดิม ทั้ง 4 คนนี้ คงจะทำหน้าที่ได้ตามสมควร ตามความประสงค์ของสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แต่เท่าที่ได้ทราบมา นายกรัฐมนตรีได้ทาบทามผู้อื่นก่อน และได้รับการปฏิเสธมาหลายราย

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีโกหกเก่ง และโกหกจนได้ดี

47.คนอื่นๆ ที่โกหกเก่ง แต่น่าเสียใจที่ยังไม่ได้ดี คือ ศาสตราจารย์ ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ อาคม มกรานนท์ ทมยันตี วัฒนา เขียววิมล อุทาร สนิทวงศ์ ประหยัด ศ.นาคะนาท และเพื่อน ๆ ของเขาอีกหลายคนที่เป็นนักหนังสือพิมพ์ นักพูดวิทยุและโทรทัศน์

@อะไรจะเกิดขึ้น

48. ผู้เขียนได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไว้ เมื่อเดือนกันยายน ซึ่งบางตอนได้นำมาถ่ายทอดใน Far Easten Economic Review ว่า ถ้าเกิดปฏิวัติรัฐประหารขึ้นในประเทศไทยจะมีนักศึกษา อาจารย์นักการเมือง กรรมกร ชาวนาชาวไร่ เข้าป่าไปสมทบกับพวกคอมมิวนิสต์ (ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นคอมมิวนิสต์) อีกเป็นจำนวนมาก เท่าที่ฟังดูในระยะยี่สิบวันที่แล้วมา ก็รู้สึกเป็นจริงตามนั้น ยิ่งมีเหตุร้ายแรงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งกระทบกระเทือนทั่วไปหมด มิใช่แต่นักศึกษาธรรมศาสตร์เท่านั้นยิ่งมีช่องทางเป็นจริงมากขึ้น

49. ข้อที่น่าเสียดายสำหรับคนรุ่นหนุ่มสาวที่ใฝ่ในเสรีภาพก็คือ เหตุการณ์ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ไม่เปิดโอกาสให้เขามีทางเลือกที่ 3 เสียแล้ว ถ้าไม่ทำตัวสงบเสงี่ยมคล้อยตามอำนาจเป็นธรรม ก็ต้องเข้าป่าไปทำงานร่วมกับคอมมิวนิสต์ ใครที่สนใจในเรื่องสันติวิธี ประชาธิปไตย และเสรีภาพ จะต้องเริ่มต้นใหม่ เบิกทางให้แก่หนุ่มสาวรุ่นนี้และรุ่นต่อๆ ไป

50. ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า ทหารทั้งหลายยังแตกกัน และยังแย่งทำรัฐประหาร สภาพการณ์ก็คงจะเป็นอยู่เช่นนั้น แม้ว่าตัวการคนหนึ่งจะหลบไปบวช และอีกคนหนึ่งไปญี่ปุ่น จะทำอย่างไรให้เกิด "ความสามัคคี" ในหมู่ทหาร ซึ่งหมายความว่าเป็น "คความสามัคคีในชาติ" ได้ น่าคิดว่าบทบาทของจอมพลถนอม กิตติขจร น่าจะยังมีอยู่ อาจจะสึกออกมารับใช้บ้านเมืองเพื่อสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นได้ อย่างที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาหลายครั้งหลายหน เช่น พระมหาธรรมราชา เป็นต้น แล้วจอมพลประภาส จารุสเถียร เล่า พันเอกณรงค์กิตติขจร เล่า

51. เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรทางด้านการเมืองก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่า โครงการสร้างระบบประชาธิปไตย 3 ระยะ 12 ปี ของคุณธานินทร์ กรัยวิเชียร กับพวก คงจะไม่เป็นไปตามนั้น "เสี้ยนหนามศัตรู" ของรัฐบาลนี้มีหลายทางหลายฝ่ายนัก อะไรจะเกิดขึ้นได้ และสภาวะบ้านเมืองก็คงจะอำนวยให้เกิดขึ้นได้หลายอย่าง ข้อที่แน่ชัดก็คือ สิทธิเสรีภาพพื้นฐานจะถูกบั่นทอนลงไป สิทธิของกรรมกร ชาวไร่ชาวนา จะด้อยถอยลงและผู้ที่จะได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด คือประชาชนพลเมืองธรรมดานั่นเอง

52. เมื่อกรรมกรไม่มีสิทธิโต้แย้งกับนายจ้าง เมื่อการพัฒนาชนบทแต่ละชนิดเป็นการ "ปลุกระดมมวลชน" เมื่อมีการปฏิรูปที่ดินเป็นสังคมนิยม เมื่อราคาข้าวจะต้องถูกกดต่ำลง เมื่อไม่มีผู้แทนราษฎรเป็นปากเสียงให้ราษฎร เมื่อผู้ปกครองประเทศเป็นนายทุนและขุนศึกการพัฒนาประเทศและการดำเนินงานเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ คงจะเป็นไปอย่างเดิมตามระบบที่เคยเป็นมาก่อน 2516 ฉะนั้นพอจะเดาได้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจของประชาชนจะมีมากขึ้นทุกที โดยช่องว่างระหว่างคนมีกับคนจนจะกว้างขึ้นชนบทและแหล่งเสื่อมโทรมจะถูกทอดทิ้งยิ่งขึ้น ส่วนชาวกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ ที่ร่ำรวยอยู่แล้วจะรวยยิ่งขึ้น ความฟุ้งเฟ้อจะมากขึ้นตามส่วน

การปฏิรูปการศึกษา การกระจายสาธารณสุขไปสู่ชนบท การกระจายอำนาจการปกครองท้องถิ่นอย่างดี ก็จะหยุดชะงัก ปัญหาสังคมของประเทศไทยจะมีแต่รุนแรงขึ้น

53. ทางด้านการต่างประเทศอเมริกาคงจะมีบทบาทมากขึ้นในประเทศ โดยใช้เป็นหัวหอกต่อสู้กับประเทศคอมมิวนิสต์เพื่อนบ้านของเรา ประเทศต่างๆ ที่เป็นภาคีในองค์การอาเซียนคงดีใจ เพราะได้สมาชิกใหม่ที่เป็นเผด็จการด้วยกัน แล้วยังเป็นด่านแรกต่อสู้คอมมิวนิสต์ให้เขาด้วย

ภายในรัฐบาลไทยเอง ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคอมมิวนิสต์คงจะไม่ราบรื่นนัก จะเห็นได้จากการที่เอาปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และอธิบดีกรมการเมืองออกจากราชการ นัยว่าพวกทหารไม่ชอบ เพราะไปทำญาติดีกับญวน เขมร และลาว โดยสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีต่างประเทศคนก่อน การ "ปราบ" ญวนอพยพคงจะมีต่อไปการวิวาทกับลาวและเขมรเรื่องเขตแดนหรอเรื่องอื่นๆ ที่หาได้ง่าย คงจะเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา ปัญหามีอยู่ว่า จะเป็นเรื่องวิวาทเฉพาะประเทศเล็กๆ ด้วยกันอย่างเดียว หรือจะชักนำมหาอำนาจให้เข้ามาร่วมทำให้ลุกลามต่อไป

54. ผู้เขียนรู้สึกว่าเท่าที่เขียนมานั้น ค่อนข้างจะเป็นเรื่องเศร้าน่าสลด อนาคตมืดมน

ใครเห็นแสงสว่างบ้างในอนาคต โปรดบอก

28 ตุลาคม 2519

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 22 เมษายน พ.ศ. 2553


ผมอยากให้คนที่อ่านจบจบ ได้มีลองค้นหาว่า ยานเกราะ ดาวสยาม กระทิงแดง นวพล ลูกเสือชาวบ้าน มีใครอยู่เบื้องหลัง หรือเป็นแกนนำบ้าง, บางตัวละครในตอนนั้น มีบทบาทอื่นๆอยู่ในตอนนี้

เพิ่มเติม เพื่อความสมบูรณ์ของเรื่องราว แนะนำให้อ่าน ตาม link ข้างล่างเพิ่มครับ

6 Octotor 1976 (ใครเป็นใครในกรณี 6 ตุลา) Part I
http://mynoz.spaces.live.com/blog/cns!2AAF032065B8040B!504.entry

6 Octotor 1976 (ใครเป็นใครในกรณี 6 ตุลา) Part II
http://mynoz.spaces.live.com/blog/cns!2AAF032065B8040B!505.entry

Categories: News and politics

“คนไทยโชคดี ที่ได้”อภิสิทธิ์”เป็นนายกฯ” ข้อเขียนสุดฮอต กลางม็อบราชประสงค์

18 April 2010 2 comments

"คนไทยโชคดี ที่ได้"อภิสิทธิ์"เป็นนายกฯ" ข้อเขียนสุดฮอต กลางม็อบราชประสงค์

วันนี้ แกนนำ เสื้อแดง ได้นำบทความ "คนไทยโชคดี ที่ได้"อภิสิทธิ์"เป็นนายกฯ"ที่ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ ไปแจกจ่ายให้กับผู้ชุมนุม อันเป็นวันเดียวกับที่นายกฯหนุ่ม งดรายการ เชื่อมั่นประเทศไทย เป็นครั้งที่ 2 และมีกระแสข่าวว่า ผู้นำหลบไปพักผ่อนกับครอบครัว ขณะที่ ศอฉ. ส่งสัญญาณ กร้าวอีกครั้ง …. ถ้าคุณยังไม่ได้อ่าน เราแนะนำให้อ่าน โดยพลัน


คนไทยโชคดี ที่ได้"อภิสิทธิ์"เป็นนายกฯ

…และแล้ว "ประชาธิปไตย" ก็เข้าสู่ห้วง "รัตติกาล" จริงๆ

เสียงปืนและชีวิตของ "คนเสื้อแดง" และ "ทหาร" ในคืนวันที่ 10 เมษายน ทำให้ "ประชาธิปไตย" ของไทยก้าวเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้งหนึ่ง

บทเรียน 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519 และ 17-19 พฤษภาคม 2535 ไม่ได้ทำให้คนไทยก้าวข้าม "ความรุนแรง" ไปได้

การตัดสินใจสลาย "ม็อบเสื้อแดง" ที่สะพานผ่านฟ้าฯ ของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 24 ศพ และผู้บาดเจ็บอีก 800 กว่าคน

ในบรรดาผู้เสียชีวิตทั้งหมดมีช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นเสียชีวิต 1 ราย ทหาร 5 นาย และคนเสื้อแดง 18 ศพ

"อภิสิทธิ์" กลายเป็น "นายกฯ มือเปื้อนเลือด" ไปในพริบตา

การสลายการชุมนุมภายใต้วาทกรรมการเมืองที่สละสลวย "ขอคืนพื้นที่" เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 10 เมษายน

มีเป้าหมายว่าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 18.00 น.

แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ

การปะทะกันของ "คนเสื้อแดง" กับ "ทหาร" ตั้งแต่ช่วงบ่ายเป็นต้นมา แม้จะมีคนบาดเจ็บบ้างแต่ก็เล็กน้อย

ที่สำคัญคือ ไม่มี "ผู้เสียชีวิต"

แต่การตัดสินใจนำพาสถานการณ์ไปสู่ความสุ่มเสี่ยงในยามค่ำคืน เพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงได้ก่อให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่

"อภิสิทธิ์" ตัดสินใจ "ไฟเขียว" ให้สลายการชุมนุมต่อไป ทั้งที่รู้กันว่าการสลายการชุมนุมหลังพระอาทิตย์ตกดินนั้นสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง

ที่สำคัญเขารู้อยู่แล้วว่ามี "มือที่สาม" รอคอยอยู่

ถ้าไม่เคยมีการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ด้วยอาวุธสงคราม ไม่ว่าจะเป็นการยิง ขว้างระเบิด หรือยิงเอ็ม 79 จาก "มือลึกลับ" ถล่มใส่สถานที่สำคัญต่างๆ หลายครั้งในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา

"อภิสิทธิ์" สามารถอ้างได้ว่าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมี "มือที่สาม" ฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ในการสลายการชุมนุม

นอกจากนั้น ยังมีบทเรียนเรื่อง "มือที่สาม" จากประวัติศาสตร์การเมืองตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 และพฤษภาคม 2535 มาแล้ว

แต่ "อภิสิทธิ์" ก็ยังเดินรอยตาม

เพียงเพราะความรู้สึกที่ต้องการ "ชัยชนะ"

และไม่ต้องการ "เสียหน้า" เท่านั้นเอง

ความรู้สึกนี้เห็นได้อย่างชัดเจนในการแถลงข่าวเมื่อคืนวันที่ 9 เมษายนหลังจาก "คนเสื้อแดง" ฝ่าด่านทหารเข้าไปบุกยึดสถานีดาวเทียมไทยคมที่ลาดหลุมแก้วและต่อเชื่อมสัญญาณสถานีโทรทัศน์พีทีวีได้สำเร็จ

"อภิสิทธิ์" ไม่พอใจอย่างมาก

ใบหน้าที่เคร่งเครียดและน้ำเสียงของเขาในการแถลงข่าวบ่งบอกความรู้สึกในใจ

"เป็นความเจ็บปวด เป็นความรู้สึกที่ต้องการเห็นความถูกต้องได้รับชัยชนะ ต้องการเห็นกฎหมายศักดิ์สิทธิ์"

"ต้องเดินหน้าทำให้บ้านเมืองปกครองด้วยกฎหมาย นี่คือ ภารกิจเดียวที่เราต้องทำ ส่วนปัญหาการเมืองหรืออื่นใดนั้นต้องแก้ไขกันทีหลัง"

"เช้านี้เราอาจผิดหวังแต่เหตุการณ์ยังไม่จบ เชื่อมั่นว่าเราดำรงในความถูกต้องปกป้องกฎหมาย ในที่สุดเราจะได้ชัยชนะ"

ทันทีที่แถลงข่าวจบรถบรรทุกทหาร รถหุ้มเกราะ รถดับเพลิง รถพยาบาล ร่วม 100 คันก็ออกจากราบ 11

ปฏิบัติการ "ขอพื้นที่คืน" เริ่มต้นขึ้น

"อภิสิทธิ์" นั้นถูกตั้งฉายาว่า "เด็กดื้อ" เพราะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง และไม่ยอมเสียหน้า

กรณีการตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร.คนใหม่ ที่ค้างคามานาน คือตัวอย่างที่ดียิ่งที่บ่งบอกถึงบุคลิกของ "อภิสิทธิ์"

ดังนั้น เมื่อแพ้มาแล้วครั้งหนึ่งจากที่ "เสื้อแดง" ยึดสถานีดาวเทียมไทยคมได้สำเร็จ

ครั้งนี้ต้องไม่แพ้อีก

ทั้งที่ "อภิสิทธิ์" เคยแถลงข่าวยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีความคิดจะสลายการชุมนุม

และแถลงข่าวอีกครั้งว่าจะขอพื้นที่คืนที่สี่แยกราชประสงค์ ให้ผู้ชุมนุมไปอยู่ที่สะพานผ่านฟ้าฯ เพียงที่เดียว

แต่เมื่อถึงเวลาจะ "เอาชนะ" เขาก็ตัดสินใจสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯ ด้วยเหตุผลว่ามีจำนวนคนน้อยกว่า

เช่นเดียวกับเมื่อถึงเวลา 6 โมงเย็นภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น

ระหว่างการตัดสินใจ "หยุด" กับ "เดินหน้าต่อ"

"อภิสิทธิ์" กลับเลือก "เดินหน้าต่อ"

อาจเป็นเพราะถ้าเขาตัดสินใจ "หยุด" สื่อก็จะประโคมข่าวในวันรุ่งขึ้นว่ารัฐบาลสลายม็อบไม่สำเร็จ

หรือ "รัฐบาลแพ้"

วินาทีที่ต้องตัดสินใจเช่นนั้นถือเป็นห้วงเวลาที่จะพิสูจน์ความเป็น "ผู้นำ" ของคน

เขาจะเลือกสิ่งใด

ระหว่าง "กฎหมาย" กับ "ชีวิตคน"

ระหว่าง "เหตุผล" กับ "อารมณ์"

และในที่สุด "อภิสิทธิ์" ก็ตัดสินใจ…

 

จนถึงวันนี้ไม่แน่ชัดว่าวาทกรรมที่ว่า "ขอพื้นที่คืน" ของ "อภิสิทธิ์" นั้น

เขาหมายถึง "พื้นที่ถนน"

หรือ "พื้นที่ใบหน้า"

เพราะการสูญเสียชีวิตของ "คนเสื้อแดง" และ "ทหาร" จากการสลายม็อบครั้งนี้ ส่งผลสะเทือนอย่างแรงทางการเมือง และสังคมไทย

ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายอย่างใหญ่หลวง

พร้อมกับสร้างรอยแผลลึกในใจของคนไทยมากมาย

"อภิสิทธิ์" คือ บุคคลสำคัญที่ต้องรับผิดชอบ

เพราะเขาเป็นคนกดปุ่ม "สลายม็อบ"

หลายคนนึกถึงวาทะประวัติศาสตร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2551

วันนั้น "อภิสิทธิ์" พาคณะรัฐมนตรีอวยพรปีใหม่ "ป๋าเปรม"

เป็นครั้งแรกที่ "ประธานองคมนตรี" ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแสดงท่าทีสนับสนุน "อภิสิทธิ์" อย่างเปิดเผย

"บ้านเมืองเราโชคดีที่ได้ท่านมาเป็นนายกฯ"

และ "ดีใจที่ได้นายกฯ ชื่ออภิสิทธิ์ และคิดว่าคนไทยก็ดีใจ"

จากวันนั้นถึงวันนี้

ในเดือนเมษาเลือดของปี 2553

ไม่รู้ว่า "คนไทย" จะคิดเหมือน พล.อ.เปรม หรือไม่

การที่ได้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกรัฐมนตรี

เป็น "โชคดี" หรือ "โชคร้าย" ของคนไทยกันแน่

คนไทยโชคดี ที่ได้"อภิสิทธิ์"เป็นนายกฯ : มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 30 ฉบับที่ 1548

"คนไทยโชคดี ที่ได้"อภิสิทธิ์"เป็นนายกฯ" ข้อเขียนสุดฮอต กลางม็อบราชประสงค์ : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

Categories: News and politics

ถ้าคุณอภิสิทธิ์ลดเงื่อนไข ก็จะบีบให้กลุ่มเสื้อแดงต้องคุย นี่คือวิธีเดียวครับ ที่จะออกไปจากสภาพแบบนี้ : วรเจตน์ ภาคีรัตน์

9 April 2010 Leave a comment

ถ้าคุณอภิสิทธิ์ลดเงื่อนไข ก็จะบีบให้กลุ่มเสื้อแดงต้องคุย นี่คือวิธีเดียวครับ ที่จะออกไปจากสภาพแบบนี้ : วรเจตน์ ภาคีรัตน์

"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับ ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ในวันที่กลุ่มคนเสื้อแดงยึดสถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว คืนจากทหาร ก่อนหน้านี้ 1 วัน 5 อาจารย์ ออกแถลงการณ์ ไม่เห็นด้วยกับการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และไม่เห็นด้วยกับการปิดกั้นสื่อของรัฐบาลอภิสิทธิ์ อ่านบทสัมภาษณ์ ต่อไปนี้ …ถ้าไม่เห็นด้วย จงกลับไปอ่านแถลงการณ์ของ 303 อาจารย์

ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และอาจารย์คณะนิติศาสตร์ สำนักท่าพระจันทร์ รวม5 คน จำนวนน้อยกว่า 303 อาจารย์ ทั่วประเทศ ซึ่งมารวมตัวที่ธรรมศาสตร์ เพื่อประกาศคัดค้านยุบสภาหลายเท่า

แต่ปัญหาคือ เหตุผลของ 5 คน อาจดีกว่า หรือห่วยกว่า สมองของอาจารย์ 303 คน … ก็เป็นได้

อาจารย์สอนกฎหมาย 5 คน เห็นว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ ควรยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน แล้วค่อยไปว่าเรื่องการปฎิรูปการเมือง หลังเลือกตั้งทั่วไป

แต่ 303 อาจารย์ที่สอนสารพัดวิชา บอกว่า ยุบสภา ไร้เหตุผล !!!

"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับ ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ในวันที่กลุ่มคนเสื้อแดงยึดสถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว คืนจากทหาร

ก่อนหน้านี้ 1 วัน 5 อาจารย์ ออกแถลงการณ์ ไม่เห็นด้วยกับการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และไม่เห็นด้วยกับการปิดกั้นสื่อของรัฐบาลอภิสิทธิ์

(หาอ่านได้ที่ http://mynoz.spaces.live.com/blog/cns!2AAF032065B8040B!828.entry แถลงการณ์กลุ่ม 5 อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน)

อ่านบทสัมภาษณ์ ต่อไปนี้ …ถ้าไม่เห็นด้วย จงกลับไปอ่านแถลงการณ์ของ 303 อาจารย์

@ อาจารย์เห็นว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ชอบด้วยกฏหมายอย่างไร ถึงได้ออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วย

ปัญหาคือ มันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเปล่า คือ กฏหมายฉุกเฉินไว้ใช้กับอะไร จริงๆ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกมาตั้งแต่รัฐบาลคุณทักษิณ (ชินวัตร) ซึ่งผมก็ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก คือ ใช้เมื่อไหร่ มีสภาพเท่ากับรัฐประหารเงียบ เพราะจะทำให้รัฐมีอำนาจมหาศาล ผมคิดว่า ถ้าคุณอาศัยอำนาจตามนี้ จะมีปัญหาเรื่องการตรวจสอบในทางตุลาการต่อไปอีก มีปัญหากับหลักนิติรัฐอย่างรุนแรง

@ แต่รัฐบาลอ้างว่ามีแนวโน้มการใช้ความรุนแรง

ไม่เห็นหรือครับว่า แกนนำเขาคิดยังไงกับคุณอริสมันต์ (พงษ์เรืองรอง) คือคนที่มาชุมนุมมากๆ ก็มีหลายแบบ เราอาจตำหนิเขาว่า ทำไมปล่อยให้คุณอริสมันต์ นำมวลชนอย่างนั้น นี่คือบทเรียนของฝ่ายเสื้อแดงเอง คุณอริสมันต์ ทำผิด ก็ต้องจัดการกับคุณอริสมันต์ ก็ต้องบอกให้ส่งตัวคุณอริสมันต์ให้ตำรวจ แต่ถามว่า มันฉุกเฉินยังไง แล้วถามว่า กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เขาจะทำอย่างนั้นหรือเปล่า

@ คิดอย่างไร กับการควบคุมสื่อ โดยการสั่งปิดสื่อเว็ปไซต์

อันนี้แรงมาก ในความเห็นผมนี่คือด้านอัปลักษณ์มากๆ ของกระบวนการใช้กฏหมายในเวลานี้ คือ พยายามปิดหูปิดตาคน ตกลงนี่คุณจะให้คนดูแต่ช่อง 11 เหรอ สิ่งที่ปรากฏอยู่เป็นอริยสัจคือดูช่อง 11 แล้วพ้นทุกข์เหรอ ผมว่า ไม่ใช่มั้ง ผมว่า ไม่มีเหตุผล(นะ )

@ สิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ควรทำมากที่สุดในเวลานี้คืออะไรครับ

เจรจา ลดเงื่อนไข (ครับ) ถ้าคุณอภิสิทธิ์ลดเงื่อนไข ก็จะบีบให้ทางกลุ่มเสื้อแดงต้องคุย เพราะว่าการเคลื่อนไหวอย่างนี้ ต้องการความชอบธรรมในการเคลื่อนไหว คุณต้องมีความชอบธรรมอยู่ตลอดเวลา ถ้าลดเงื่อนไข ก็จะบีบให้มีการเจรจากัน นี่คือวิธีเดียวครับ ที่จะออกไปจากสภาพแบบนี้

อย่างที่เคยบอก ยุบสภาไม่ได้แก้ปัญหาในระยะยาวหรอก แต่มันจะแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ แล้วทุกคนก็รับว่ายุบได้ แต่ยังเถียงกันเรื่องเวลา ฉะนั้นก็ต้องลดเงื่อนไขลง 9 เดือนไม่ได้ คุณก็ต้องลดลงมาถ้าลด เสื้อแดงก็จะต้องถูกบีบ จะ 3 เดือน 6 เดือน ก็ว่ากันไป ซึ่งก็ต้องคุย

มีคนบอกว่า เสื้อแดงไม่ยอมคุย ก็ในเมื่อรัฐเป็นคนกุมอำนาจ รัฐก็ลดเงื่อนไขได้ครับ รัฐลองถามเสื้อแดงดูสิว่าลดเงื่อนไขได้มั๊ย คือ มันต้องมีคนเริ่ม แล้วถามว่าใครจะเป็นคนเริ่ม ก็คือคนที่กุมอำนาจรัฐนั่นแหละ ในความเห็นผม (นะ)

@ อาจารย์มองว่า เสื้อแดงยังไม่ได้ใช้ความรุนแรง

ผมเห็นว่ายัง แน่นอน มันมีบางช่วงเวลา ที่ดูเหมือนจะออกนอกกรอบไปบ้าง แต่ผมว่าคนเสื้อแดงเขามีบทเรียนจากปีที่แล้ว แล้วผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดง เป็นการชุมนุมที่ทำมาได้ขนาดนี้ อยู่ในเกณฑ์ดีมาก นี่ดูจากการคุมมวลชนนะ คือ ต้องยอมรับว่า เป็นการชุมนุมที่มีคนมากมหาศาล ไม่มีใครปฏิเสธ แม้แต่รัฐบาลก็ยอมรับว่ามีคนจำนวนมากแล้วเลิกบอกได้แล้วว่านี่จ้างมา รอบนี้คนกรุงเทพฯก็เยอะด้วย

@ แต่ภาคธุรกิจ มองว่า นี่คือความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล

ก็เป็นผลพวงต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐประหาร ถ้าว่ากันถึงที่สุด เป็นวิบากกรรมที่ต้องรับร่วมกัน ในเชิงโครงสร้างของระบบ ซึ่งมันก็จริง มันเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ เราปฏิเสธไม่ได้ แต่ว่านี่เป็นการประเมินเรื่องความชอบของการชุมนุม คือต่างฝ่ายต่างก็อ้างความเสียหาย เพียงแต่ว่า ความเสียหายที่ผู้ชุมนุมบอก อาจจะประเมินความเสียหายเป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจไม่ได้

@ ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ จะทำให้เราออกจากวงจรความขัดแย้งได้จริงหรือ

มันไม่ออกโดยทันที เพราะความขัดแย้งมันกินลึกและยาวนาน เป็นความขัดแย้งเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ ในความเห็นผม แต่มันก็ก่อตัวมาจากอดีต

ผมถึงบอกว่า ยุบสภา ก็เพื่อให้นำไปสู่การปฏิรูปประเทศ มีกลุ่มอาจารย์บางกลุ่มบอกว่า ก็ปฏิรูปซะก่อนสิ แล้วค่อยยุบ แก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งผมคิดว่า ไม่ได้แล้วครับ เพราะวันนี้คนเสื้อแดง เขาปฏิเสธความชอบธรรมรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ นี่คือปัญหา แล้วเขามีความชอบธรรมที่จะปฏิเสธในทางทางหลักการ

วันที่ไปเจรจากัน ต้องพูดหลักการให้ชัดว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ เกิดขึ้นมายังไง เป็นผลโดยตรงจากการเลือกตั้งหรือเปล่า มีหลายคนไม่เข้าใจ บอกว่า ทำไมรัฐบาลสมัคร (สุนทรเวช) หรือรัฐบาล สมชาย (วงศ์สวัสดิ์) ไม่เป็นผลพวงการรัฐประหาร ทีรัฐบาลอภิสิทธิ์บอกว่าเป็น อาจารย์คณะผมบางคนก็พูดแบบนี้

แต่ผมเห็นว่า รัฐบาลคุณสมัคร จะดี จะชั่ว จะชอบ ยังไง ก็เป็นผลพวงโดยตรงจากการเลือกตั้ง ของประชาชน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เพราะพรรคพลังประชาชน ได้คะแนนเสียงมากที่สุด

ต่อมาคุณสมัครหลุด เพราะคดีทำกับข้าว คุณสมชาย มาเป็นต่อ ยังสืบเนื่องกันโดยตรงจากเจตจำนงค์ของคนในการเลือกตั้ง นี่คือในทางหลักการนะครับ

ต่อมารัฐบาลสมชายถูกยุบพรรค นายกฯสิ้นสภาพการเป็นส.ส. พ้นจากตำแหน่ง รัฐบาลพัง ซึ่งตอนนั้น ก็เกิดพรรคใหม่หลายพรรค ภูมิใจไทย หรือ ชาติไทยพัฒนา ซึ่งถามว่าภูมิใจไทยมาจากไหน เป็นพรรคที่ได้ ผ่านการเลือกตั้งมาหรือเปล่า ไม่มีนะครับ เพราะตอนเลือกตั้ง คนเลือกพลังประชาชน

นี่ไง ถึงเป็นสาเหตุว่า พอยุบพรรค มันทำลายความชอบธรรมในเชิงกระบวนการ หรือกลไกการเข้าสู่อำนาจ คือเรื่องนี้ เวลาเถียงกัน มักจะเถียงกันเรื่องความชอบ หรือไม่ชอบพรรคการเมือง

ถ้าคุณเป็นแฟนประชาธิปัตย์ คุณก็บอกว่าถูกต้อง ฝ่ายเพื่อไทยก็บอกว่า ไม่ถูก แต่ถามว่า ดูจากหลักการ คิดจากหลักประชาธิปไตยว่า เมื่อยุบพรรคแล้ว รัฐบาลแตก เกิดพรรคใหม่ขึ้นมา ตัวที่เกิดขึ้นมาและเป็นกุญแจสำคัญ หรือกลุ่มสำคัญที่ก่อให้เกิดรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เขาไม่ได้เป็นพรรคที่ลงเลือกตั้ง มันไม่มีตัวตนอยู่ที่มีการเลือกตั้ง

จริงๆ คุณอภิสิทธิ์ อาจจะเป็นได้ แล้วก็ยุบ อาจจะสัก 3 เดือน นี่คือในทางหลักการประชาธิปไตยควรจะเป็นแบบนั้น

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคนเสื้อแดงถึงปฏิเสธความชอบธรรมตรงนี้ ฉะนั้น เราจะปฏิรูปการเมืองกันได้ยังไง ในเมื่อคนกลุ่มหนึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่มาก ปฏิเสธความชอบธรรมของรัฐบาล

@ ดีที่สุดคือ กลับไปสู่การเลือกตั้ง

กลับสู่การเลือกตั้ง แล้วพรรคแต่ละพรรค ก็เสนอนโยบายสู้กัน หลังจากนั้นก็คงจะมีการเจรจา กันอีกหลายยก อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้ว่า เลือกตั้งแล้ว ได้รัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใคร ทุกพรรคควรมีสัญญาประชาคม เหมือนกันก็คือ ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ปฏิรูประบบการเมือง ปฏิรูปโครงสร้างประเทศ

เพียงแต่ว่า รัฐบาลอยู่ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพที่ต้องทำ แล้วมันจะทำให้กลุ่มต่างๆ เข้ามาคุยกันในระบบ คุยกันบนโต๊ะ ไม่ได้คุยบนท้องถนน ฉะนั้น ข้อเสนอที่บอกให้ปฏิรูปก่อน ไม่มีใครเอาหรอกครับ อย่างน้อยเสื้อแดงก็ไม่เอา

@ แต่แนวโน้มพรรคประชาธิปัตย์หรือรัฐบาล ก็อาจไม่เห็นด้วยเช่นกัน

นี่คือปัญหาใหญ่ว่า ที่สุด มันจะนำไปสู่การปะทะกันมั๊ย

@ การต่อสู้บนท้องถนนก็ยังไม่จบอยู่ดี

ใช่ครับ ไม่น่าจะจบในเร็ววันนี้ เว้นแต่มีการสลาย แต่ถ้าสลายก็ต้องคำนึงถึงผลที่เกิดขึ้นด้วยว่า เอาคนอยู่หรือเปล่า ถ้าประเมินได้อย่างสงกรานต์คราวที่แล้ว ก็อาจจะจบ แต่ว่าเขาก็จะมาอีก วันนี้เสื้อแดงไม่มีทางตายแล้ว ปฏิเสธการดำรงอยู่ของเขาไม่ได้แล้ว

@ เรามาถึงจุดที่เป็นความขัดแย้งระหว่างอำมาตย์กับไพร่ จริงหรือ

จริงๆ เรื่องชนชั้น ผมเคยเห็นแย้งอาจารย์อมร (จันทร์สมบูรณ์) คือหลายคนไม่อยากฟังเรื่องสงครามชนชั้น มันบาดใจ แต่เราอธิบายการลุกขึ้นของคนรากหญ้ายังไง ถ้าไม่อธิบายว่าอันนี้คือการต่อสู้

คือ ชาวบ้านเขาต้องการทวงสิทธิ์ ทวงเสียงของเขาคืน ไม่ต้องการให้กลุ่มที่เป็นชนชั้นนำของประเทศ มาบงการประเทศนี้ ถ้าดีไฟน์ในแง่นี้ก็เป็นเรื่องของสงครามชนชั้นได้เหมือนกัน

มันพูดยากเพราะมันผสมกัน หมายความว่า คนชนชั้นสูงจำนวนหนึ่ง คนชั้นกลางไม่น้อย ก็อยู่ในฝ่ายแดง มันก็อาจจะพูดไม่ได้ทีเดียวว่าเป็นเรื่องชนชั้นเพียวๆ

ถ้าบอกว่า การที่คนธรรมดานี่แหละ สู้กับกลุ่มคนที่เป็นอภิสิทธิ์ชน ในเครื่องหมายคำพูด อย่างนี้ก็อาจจะพอมองได้ แล้วมันก็มีเหตุให้มอง ซึ่งมันมีปัญหาเรื่องความยุติธรรรมในสังคมไทยจริงๆ และผมก็พูดอยู่เสมอว่า วันนี้หลายคนพูดเรื่องการปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปโครงสร้าง การทำรัฐสวัสดิการ การจัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรม

แต่ผมบอกให้ว่า ปัญหาพวกนี้ มันไม่มีทางแก้ได้ ถ้าคุณไม่แก้ไขความยุติธรรมทางการเมืองเป็นอันดับแรก ความยุติธรรมที่ว่าเขามีสิทธิ์มีเสียง และต้องเคารพสิทธิ์เขา ไม่ใช่ตราหน้าว่าเขาเป็นคนโง่ หรือ ตราหน้าว่าเขาขายเสียง ถ้าทำตรงนี้ไม่ได้ ไม่มีทาง ถ้าทำได้ก็พอไปได้ คือ ผมเชื่อว่า แดงจำนวนหนึ่งพ้นเรื่องทักษิณไปแล้ว แต่แน่นอนจำนวนหนึ่งก็มีเรื่องทักษิณอยู่

@ ทำไมพลังเงียบคนกรุงไม่ออกมา

ก็อาจจะมี คือ พวกไม่สนใจอะไร พวกรำคาญ เช่น รถติด แต่ถามว่า เขาตากแดดกันนะ เขาร้อน แต่เรารถติด แต่อยู่ในรถแอร์ แล้วจะมีใครอยากจะมีใครอยากมาตากแดดแบบนี้ ถ้าเขาไม่รู้สึกในใจของเขาถึงความไม่ยุติธรรม

มีคนบอกว่า เสื้อแดงสู้เพื่อทักษิณ ถามว่าเป็นไปได้เหรอ สู้เพื่อทักษิณอย่างเดียว มันมีเหรอ มานั่งตากแดดแบบนี้ ถ้าเขาไม่คิดอะไรไปมากกว่าคุณทักษิณ นี่เราดูถูกคนมากไปมั้ง

เขาต้องคิดถึงตัวเอง คิดถึงลูกหลานตัวเอง ถึงยอมอดทนขนาดนั้น ผมว่า จริงๆ คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งเขาไม่ได้สนใจคุณทักษิณเลย แต่โอเค แดงทักษิณก็มีอยู่เยอะ แต่ถ้าทั้งหมด คงไม่ใช่ เพราะผมคิดว่า หลังรัฐประหาร คนเห็นอะไรเยอะมากขึ้น

@ ในแวดวงวิชาการ มีทั้งเสียง 303 นักวิชาการกับเสียงของกลุ่ม 5 อาจารย์ แต่ดูเหมือนว่าอาจารย์จะมีคนฟังน้อยกว่า

ไม่เป็นไรครับ ผมไม่มีปัญหาหรอก เอาให้เป็นพัน ให้หมื่นก็ได้ จำไม่ได้หรือครับว่า เมื่อครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน พอศาลตัดสิน 15 อาจารย์ นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ออกแถลงการณ์ สนับสนุนศาลรัฐธรรมนูญ ผมก็ยังนึกในใจว่า จะสนับสนุนทำไม เพราะคำตัดสินศาลเป็นที่สุดอยู่แล้ว เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ผมตลกมาก

แต่ 5 อาจารย์ไม่เห็นด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ผมและเพื่อน มีความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ในการที่จะพูดถึงปัญหาสังคมยังไง ผมไม่สนใจเลย 303 ก็ 303 แต่ 5 อาจารย์ แน่นอน แล้วทำโดยสม่ำเสมอ ถ้าจำเป็นต้องทำ

คือผมคงไม่ได้ทำอย่างนี้ตลอดไปหรอกนะ ในอนาคต ก็อาจจะให้ลูกศิษย์ ขึ้นมาทำบทบาทนี้ อาจารย์ ปิยะบุตร (แสงกนกกุล) ก็กลับมาจากต่างประเทศแล้ว ก็อาจมาช่วยกันทำได้ หรือคนรุ่นหลัง ที่สามารถเข้ามาทดแทนตรงนี้ได้

ฉะนั้น ผมไม่สนใจเลย มันไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ แต่อยู่ที่เหตุผล

@ มีหลายคนมองว่า อาจารย์เป็นเสื้อแดง จริงหรือเปล่าครับ

มีคนแซวว่าผมใส่กางเกงสีแดง (หัวเราะ) คือ ผมก็ไม่รู้นะ แต่ว่ามันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า โดยวิธีคิด หรือสิ่งที่ผมพูดไป มันก็ไปเข้าทางแดง ทางแดงก็มาเข้าบางส่วนกับสิ่งที่ผมอธิบาย

แต่ผมถือว่า หลักการก็คือหลักการ คุณจะเอาสีอะไรมาทา ก็เป็นสีที่คุณทาลงไป แต่ว่า มันไม่ได้แปดเปื้อน หลักการ ฉะนั้น ถ้าจะบอกว่า ผมเป็นเแดง เพราะผมไม่รับกับความยุติธรรม ที่ไม่มีมาตรฐานหรือ 2 มาตรฐาน ซึ่งผมพูดก่อนเสื้อแดงชุมนุมอีก หรือเรื่องปฏิเสธรัฐประหาร ผมก็ปฏิเสธตั้งแต่ก่อนจะมีเสื้อแดงอีก เสื้อแดงมาเกิดในช่วงหลังนะ

ซึ่งถ้ามาทีหลัง แต่ไปสอดคล้องกับหลักการที่ผมได้พูดไว้ก่อน แล้วยังไง เป็นความผิดของผมเหรอ เหมือนผมขับรถมิตซูบิชิ สีแดง ผมขับมาตั้ง 7 ปีแล้วครับ แล้วยังไงล่ะ หรือผมต้องเปลี่ยนไปขับรถสีเหลือง หรือยังไง

คือตอนนี้ ผมเริ่มแยกไม่ค่อยออกระหว่างสีเหลือง สีชมพู สีขาว ผมเริ่มพร่ามัวเรื่องสี คือ สีแดงน่ะผมรู้ แต่พอเป็น เหลือง ชมพู ขาว ผมเริ่มเห็นว่าผสมผสานแล้ว

@ อาจารย์ยังไม่ตอบเลยว่า ตกลงเป็นเสื้อแดงหรือเปล่า

(หัวเราะ) คือ ผมจะพูดยังไงล่ะ เพราะหลักการเป็นอย่างนี้ ก็มองไปเถอะ วันหน้าอาจมองผมเป็นสีอื่นก็ได้ เพราะผมถูกมองมาเยอะแล้ว

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 09 เมษายน พ.ศ. 2553

Categories: News and politics

แถลงการณ์กลุ่ม 5 อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

8 April 2010 Leave a comment

แถลงการณ์กลุ่ม 5 อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เรื่อง ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพ มหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอบางบ่อ และอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา และอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งประกาศ คำสั่ง และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 นั้น เรา กลุ่ม 5 อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีความเห็นและข้อเรียกร้อง ดังนี้

1. เสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ และเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานในรัฐเสรีประชาธิปไตย

2. ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง คือ ให้นายกรัฐมนตรียุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 15 วัน ข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นข้อเรียกร้องทางการเมืองซึ่งเป็นเรื่องปกติในรัฐ เสรีประชาธิปไตย การปิดถนนและการยึดพื้นที่สาธารณะบางส่วนเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องให้ รัฐบาลเจรจาต่อรองกับผู้ชุมนุม หากการกระทำดังกล่าวมีความผิดตามกฎหมายใด รัฐบาลและเจ้าหน้าที่สามารถบังคับใช้กฎหมายนั้นเพื่อออกมาตรการที่เหมาะสม เพื่อป้องกัน ปราบปราม หรือลงโทษผู้กระทำผิดนั้นได้

3. ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง ไม่เพียงต่อผู้ชุมนุมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงประชาชนทั่วไปในวงกว้างอีกด้วย การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจึงต้องคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนเป็นสำคัญ

เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง เราเห็นว่าการชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดงยังอยู่ในกรอบของการชุมนุมโดย สงบและปราศจากอาวุธ หากรัฐบาลต้องการให้ผู้ชุมนุมออกจากสถานที่สาธารณะ รัฐบาลสามารถใช้มาตรการอื่นๆได้โดยไม่จำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่วนกรณีระเบิดตามสถานที่ต่างๆในแต่ละวันนั้น ยังไม่มีข้อเท็จจริงใดแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของ คนเสื้อแดง เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาของประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน คำสั่ง และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง จะเห็นได้ว่ามีเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพจำนวนมาก ทั้งในแง่ความเข้มข้นของมาตรการและในแง่พื้นที่ซึ่งครอบคลุมในหลายจังหวัด

เราเห็นว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงยังไม่ถือเป็น "สถานการณ์ฉุกเฉิน" ตามความในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อันเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้เป็นมาตรการที่เกินความจำเป็นและไม่ได้สัดส่วน

4. มาตรา 16 ของ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 บัญญัติว่า ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง นั่นหมายความว่า ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของ ศาลปกครอง และไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของศาลรัฐธรรมนูญเพราะไม่ได้เป็นคดีรัฐธรรมนูญ ส่วนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของศาลยุติธรรมหรือไม่นั้น ยังไม่มีคำพิพากษาบรรทัดฐานยืนยันไว้ ความข้อนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไม่ได้รับการประกัน โดยองค์กรตุลาการเพียงพอ จนอาจทำให้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกละเมิดจากการใช้อำนาจโดยมิชอบได้

เราเห็นว่าประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ เป็นไปเพื่อสลายการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง รักษาอำนาจและความมั่นคงของรัฐบาลต่อไป ไม่ใช่รักษาอำนาจและความมั่นคงของรัฐ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นมีผลเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของ ประชาชนอย่างร้ายแรง เป็นการใช้อำนาจเพื่อทำให้มาตรการที่ปกติแล้วไม่ชอบด้วยกฎหมายในทางเนื้อหา ให้กลายเป็นมาตรการที่ชอบด้วยกฎหมายในทางรูปแบบ และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยแก้ไขวิกฤติความขัดแย้ง ครั้งนี้ให้บรรเทาเบาบางลงไปได้ แต่กลับเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ตึงเครียดและรุนแรงมากขึ้น

เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ประกาศ คำสั่ง และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข

รองศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
รองศาสตราจารย์ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
อาจารย์ ดร.ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล
อาจารย์ธีระ สุธีวรางกูร
อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล

วันที่ 8 เมษายน 2553

Categories: News and politics