Archive

Posts Tagged ‘ชำนาญ จันทร์เรือง’

ประเทศไทยโชคดีที่มี, ชำนาญ จันทร์เรือง

9 February 2011 Leave a comment

ประเทศไทยโชคดีที่มี…

ชำนาญ จันทร์เรือง

ท่ามกลางควันปืนและลูกระเบิดที่คละคลุ้งบริเวณ ชายแดนไทยกัมพูชา ภาพของการอพยพหนีตายของพี่น้องไทยและกัมพูชาได้เผยแพร่ไปทั่วประเทศทั้งสอง ทั้งในรูปแบบของการรายงานตามข้อเท็จจริง และรูปแบบของการปลุกกระแสแห่งความรักชาติ ให้พลุ่งพล่านว่าหน็อยแน่ะเอ็งเป็นประเทศเล็กกระจ้อยร่อย บังอาจหาญกล้ามาราวีกับประเทศใหญ่กว่าอย่างข้า ในทำนองกลับกัน ทหารไทยที่ไม่เคยรบชนะใครเลยตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นต้นมา นอกจากชนะประชาชนของตัวเอง บังอาจมารบกับประเทศของข้าที่รบชนะมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาหรือคอมมิวนิสต์ใหญ่ทั้งหลาย อย่ากระนั้นเลย ต้องสั่งสอนเสียให้เข็ด

ในทำนองกลับกัน ฝ่ายกัมพูชาก็ปลุกระดมให้เห็นถึงการเอารัดเอาเปรียบของพี่ไทย ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันว่าบรรดาปราสาททั้งหลายมันก็ชัดๆ อยู่แล้วว่าเป็นปราสาทขอม ยังจะมีหน้ามาฮุบเอาของเราอีก ขนาดศาลโลกตัดสินแล้วยังตะแบงว่าตัดสินให้เฉพาะตัวปราสาทพระวิหาร แต่ไม่ให้พื้นดินที่อยู่ข้างใต้ มิหนำซ้ำ จอมพลสฤษดิ์ยังดันมาทำรั้วกั้นที่เอาตามอำเภอใจเสียอีก อย่ากระนั้นเลย ต้องรบกับพี่ไทยเสียให้รู้เรื่องเสียที จะได้มีเรื่องมีราวไปถึงศาลโลกและสหประชาชาติ ซึ่งเขมรมั่นใจว่าชนะแหงๆ และยังเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เปิดตัวทายาททางการเมือง ของสมเด็จอัครมหาเสนาบดี ฮุน เซน คือ บุตรชายสุดรักที่ชื่อว่าพลจัตวาฮุน มาเน็ต ให้พี่น้องชาวกัมพูชาคุ้นชินเป็นเบื้องต้น

ในบรรดาความโง่ของมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ไม่มี ความโง่ใดๆ ที่จะเทียบเท่ากับการที่เข้า ห้ำหั่นเอาชีวิตมนุษย์ด้วยกันเพียงเพื่อกองหินเก่าๆ กับพื้นดินที่ไร้ค่าโดยอ้างว่าเพื่อปกป้องอธิปไตย โดยการเอาเลือดทาแผ่นดินเพื่อสนองตัณหา ของผู้บริหารประเทศที่โง่เง่าและไม่รู้จักพอของทั้งสองฝ่าย ที่ดีแต่ปากให้สัมภาษณ์ว่ากันไป ว่ากันมา ออกแถลงการณ์โต้กันไปโต้กันมาจากในห้องแอร์ โดยมีพี่น้องร่วมชาติทั้งสองชาติต้องเป็นผู้รับเคราะห์กรรม

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมมานึกทบทวนว่า การศึกสงครามนั้นมันเกิดขึ้นได้เสมอเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น แต่แน่นอนว่า มันก็ย่อมป้องกันที่จะไม่ให้มีการเกิดขึ้นได้เสมอเช่นกัน ในส่วนของกัมพูชานั้นผมคงงดเว้นที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์เพราะดีไม่ดีจะเข้า ข่ายติชมอริราชศัตรูผิดอาญาแผ่นดินเข้าจะเดือดร้อนกันไปเปล่าๆ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ คนที่สามารถสั่งให้คนไปตายด้วยการรบกัน เพื่อสนองตัณหาทางการเมืองของตนได้นั้นย่อมไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน

หันมาพิจารณาในฝ่ายพี่ไทยเรา (ก็ไม่รู้ว่าได้รับการยกให้เป็นพี่ตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่แน่ๆ ประเทศเพื่อนบ้านเราไม่มีประเทศไหนชอบเราสักประเทศ) แล้วพบว่าจากเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมา จนเกิดเหตุลุกลามใหญ่โตเป็นสงคราม ผู้คนอพยพหนีตายกันจ้าละหวั่นยิ่งกว่าครั้งใดๆ ตั้งแต่สงครามโลกเกิดขึ้นมาแล้วจะพบว่าประเทศเรานั้นโชคดีจริงๆ ที่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้

1. ประเทศไทยโชคดีที่มีอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นนายกฯ ที่มีความรู้ การศึกษา ชาติตระกูลดี มีอำนาจพิเศษหนุนหลัง ไม่ว่าจะเป็นจากกองทัพ (ตอนนี้ชักไม่แน่ใจ) ไม่ว่าจะเป็นผู้มากบารมีทั้งหลาย เพราะกระชับพื้นที่จนคนตายไป 91 ศพ ยังอยู่รอดปลอดภัย ไม่มีใครสามารถเอาความได้

แต่ประเทศไทยก็โชคไม่ดีเช่นกันที่มีอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีการตัดสินใจที่เด็ดขาด มีแต่ความโลเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนโยบายการต่างประเทศกับกัมพูชา แข็งก็ไม่แข็งจริง อ่อนก็ไม่อ่อนจริง จนผู้นำกัมพูชาจับไต๋ได้ถูกว่าอย่างไรเสียหากมีการสู้รบเกิดขึ้นนายกฯ อภิสิทธิ์คงจะออกอาการแหยเสียเป็นแน่ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้อยคำที่ดุดันดันแข็งกร้าวให้เอาธงลง ตอนก่อนปะทะกัน ฯลฯ ไม่มีให้เห็น ไม่ได้แม้สักเสี้ยวหนึ่งของวินสตัน เชอร์ชิล อดีตผู้นำของประเทศที่ตนเองกำเนิดและไปร่ำเรียนมา กลายเป็นใบ้ไปเสียเฉยๆ ซะอย่างนั้น

2. ประเทศไทยโชคดีที่มีรัฐมนตรีการต่างประเทศ ที่มีประสบการณ์ในทางการทูตมาอย่างยาวนานชื่อ กษิต ภิรมย์ รู้ทางหนีทีไล่ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ มิหนำซ้ำยังเป็นสหายของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง จนถึงกับเคยขึ้นเวทีของพันธมิตรมาแล้วถึงกับออกปากชมการชุมนุมว่า “อาหารดี ดนตรีเพราะ” จนได้รับการส่งเข้าประกวดจากพันธมิตรให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่าง ประเทศ ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่ามีกองหนุนที่แน่นปึ้ก (แต่ตอนนี้ด่ากันแล้ว)

แต่ประเทศไทยก็โชคไม่ดีเช่นกันที่มีรัฐมนตรีว่า กระทรวงการต่างประเทศที่ชื่อกษิต ภิรมย์ เพราะเคยปราศรัยด่าฮุน เซน ว่าเป็นกุ๊ย แต่ก็ต้องไปเจรจาความเมืองกับประเทศที่มีผู้นำที่ถูกตนเองด่าว่าเป็นกุ๊ย แล้วจะไปเหลืออะไร เพราะแม้แต่กำลังเจรจาอยู่กับเขาในประเทศเขาเองแท้ๆ เขายังสั่งยิงทหารไทยที่ชายแดนเลย ออกจากประเทศเขากลับมาได้ก็บุญแล้ว

3. ประเทศไทยโชคดีที่มีสมณะและฆราวาสผู้ทรงศีล สนับสนุนการชุมนุมของประชาชน ทั้ง (เคย) สนับสนุนและต่อต้านรัฐบาล การชุมนุมจึงเป็นไปด้วยน่าเลื่อมใส เพราะเป็นการชุมนุมของผู้ทรงศีล ความคิดเห็นและการแสดงออกต่างๆ จึงน่าจะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์

แต่ประเทศไทยก็โชคไม่ดีที่ผู้ทรงศีลเหล่านั้น กลับสนับสนุนให้ยึดติดกับเศษหินเก่าๆ พื้นที่ดินเล็กๆ ที่ไร้ประโยชน์ โดยสนับสนุนให้มีการใช้กำลังทหารเข้าต่อสู้ฟาดฟันกัน เปิดดูตำราพุทธศาสนาเล่มไหนก็ไม่เห็นมีว่าให้พุทธศาสนิกชนรบกัน เพื่อแย่งชิงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าการดำเนินของกลุ่มนี้มีผลผลักดันให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ดำเนินการในหลายมาตรการ เช่น การจะให้เอาธงกัมพูชาลงและจนถึงที่สุดจนถึงกับจะรื้อวัดแก้วเสียด้วยซ้ำไป (ไม่รู้คิดได้อย่างไร)

4. ประเทศไทยโชคดีที่มีผู้บัญชาการทหารบก คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ชื่อว่าเป็นทหารอาชีพ ไม่เคยได้ยินถึงการแสดงความเห็นทางการเมือง (ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว) มีบุคลิกที่เข้มแข็งดุดันจนได้ฉายาว่าสฤษดิ์น้อย ซึ่งยังเป็นที่ถวิลหาของพวกอำนาจนิยมทั้งหลาย ที่ยังกล่าวถึงจอมพลสฤษดิ์อยู่เสมอ เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือเกิดเพลิงไหม้

แต่ประเทศไทยก็โชคไม่ดีที่ผู้บัญชาการทหารบกคน นี้เข้มแข็งและดุดันเฉพาะกับนักข่าว ถึงกับชี้หน้าอยู่เป็นประจำเมื่อถูกถามถึงการรัฐประหาร ไม่ได้เข้มแข็งดุดันให้ทหารเขมรได้กลัวเกรงถึงแสนยานุภาพของทหารไทยที่เขมร จะต้องคิดหนักเมื่อจะต้องรบกับไทยเลย มิหนำซ้ำ ยังแสดงอาการหลุดให้เห็นบ่อยๆ เมื่อมีการให้สัมภาษณ์ ไม่ให้สัมภาษณ์บ้างก็ได้นะครับ เสียบุคลิกหมด

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าไทยกับกัมพูชาจะรบหรือไม่รบกันจนผู้คนตายกันเป็นเบือก็ตาม สุดท้ายก็ต้องจบลงที่การเจรจา แต่ผลของการเจรจานั้น ย่อมขึ้นอยู่ที่ฝ่ายใดเป็นผู้มีอำนาจในการต่อรองที่เหนือกว่า หากเรายังมีผู้ที่เกี่ยวข้องดังสี่ประการข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว ก็อย่าหวังว่าเราจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่าเลย แค่ศึกภายในยังเอาไม่อยู่แล้ว ศึกนอกที่ใหญ่โตกว่าเช่นนี้ ก็เป็นอันสิ้นหวังครับ

กรุงเทพธุรกิจ, 9 กุมภาพันธ์ 2554

และแล้วความจริงกรณี 7 คนไทยก็ปรากฏ, ชำนาญ จันทร์เรือง

26 January 2011 2 comments

และแล้วความจริงกรณี 7 คนไทยก็ปรากฏ

ชำนาญ จันทร์เรือง

จากกรณีที่คนไทย 7 คนถูกทหารกัมพูชาจับตัวจนในที่สุด ศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุก 5 คนไทยคนละ 9 เดือนและปรับเป็นเงินจำนวน 1 ล้านเรียล โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ก่อนซึ่งก็มีความหมายว่ากระทำความผิดจริงแต่ยัง ไม่ต้องถูกติดคุกนั่นเอง เหตุการณ์ต่างๆ ที่สับสนในตอนแรกเริ่มกระจ่างขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังเป็นที่สงสัยว่า “ใครได้อะไร เมื่อไหร่ และอย่างไร” ซึ่งใช้เป็นคำอธิบายว่า “การเมืองคืออะไร” (Politics is,who gets “What”, “When”, and “How”) ของฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) ปรมาจารย์ทางรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่โด่งดัง

ที่ผมยกนิยามศัพท์ของคำว่า “การเมืองคืออะไร” มากล่าวถึงกรณี 7 คนไทย ก็เนื่องเพราะว่ากรณีนี้เป็นกรณีการเมืองโดยแท้ ถึงแม้ว่าจะมีกรณีการบังคับใช้กฎหมายของศาลกัมพูชามาเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม แต่ก็เป็นกรณีที่ฝ่ายการเมืองของกัมพูชา ที่ใช้ศาลเป็นเครื่องมือในการดำเนินการทางการเมืองกับไทยเช่นกัน

จุดเริ่มต้นของกรณีนี้เกิดขึ้นจากมีการพยายาม ที่จะใช้การปลุกกระแสชาตินิยม ในกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนของกลุ่มการเมืองบางกลุ่มและรัฐบาลเอง เพื่อสร้างคะแนนนิยมของกลุ่มการเมืองและกลบปัญหาความไม่เอาไหนของรัฐบาลเอง แต่การณ์กลับไม่เป็นไปดังที่คาดหวัง เนื่องจากมีเข้าร่วมการชุมนุมจำนวนไม่มากนักและมิหนำซ้ำยังถูกต่อต้านจากคน ในพื้นที่ จึงได้มีการตัดสินใจยกระดับการจุดชนวนด้วยการเดินข้ามแดนเข้าไปให้ทหาร กัมพูชาจับกุมตัว โดยหวังที่จะปลุกกระแสความรักชาติขึ้นมา

ในเบื้องแรกผู้ก่อการเรื่องดังกล่าวคงมิได้คาด หมายเหตุการณ์จะพลิกผัน ว่าจะมีการดำเนินคดีจนถึงกับมีการขึ้นโรงขึ้นศาลจนถึงต้องมีการขังคุก (ขี้ไก่) จนแมลงสาบแทะหัว กว่าจะได้ประกันตัวและตัดสินคดีก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด คณะดังกล่าวคงนึกแต่เพียงว่าหากมีการจับกุมในพื้นที่คงสามารถเจรจาได้เหมือน ครั้งที่ผ่านๆ มา แล้วค่อยนำข่าวไปสร้างกระแส

แต่เหตุไม่คาดฝันย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะทหารกัมพูชาที่จับกุมเกิดจำนายวีระ สมความคิด ที่เคยถูกจับมาแล้วแต่ถูกปล่อยตัว พร้อมกับทำทัณฑ์บนไว้แล้วเมื่อไม่นานมานี้ กอปรกับนายวีระเองก็ถูกทางการกัมพูชาขึ้นบัญชีดำไว้แล้วเพราะด่าฮุน เซนไว้เยอะ การณ์จึงกลับไปเข้าล็อกทางฝ่ายกัมพูชา บุคคลทั้งเจ็ดจึงถูกส่งตัวไปยังพนมเปญ พร้อมกับการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลฮุน เซน

การจงใจที่จะให้ถูกทางการกัมพูชาจับกุมนั้น ปรากฏชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ ไม่ว่าจะเป็นภาพจากวีดิโอที่ถูกบันทึกไว้ ไม่ว่าจะเป็นการออกมาเรียกร้องในทันทีทันควันของขบวนการคลั่งชาติ ที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปะทะกับกัมพูชาเพื่อให้บานปลายให้ได้ เป้าหมายก็เพื่อให้มีการตัดความสัมพันธ์ของสองประเทศ มีการเรียกร้องให้ปิดพรมแดนเพื่อตอบโต้ จากนั้นนำไปสู่การตัดสัมพันธ์ทางการทูต และที่ร้ายที่สุดมีการเรียกร้องจากทหารเก่าหลงยุค ที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการทางทหาร ออกมากดดันรัฐบาลกัมพูชาเพื่อให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา

แต่โชคดีที่ปลุกกระแสไม่ขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นเราอาจจะได้เห็นการคืนชีพของพวกคลั่งชาติ ที่กลับมายิ่งใหญ่เป็นผู้นำประชาชนบนความหายนะของประเทศ เพราะชายแดนจะถูกแปรจากสนามการค้ากลายเป็นสนามรบ ประชาชนทั้งสองประเทศอพยพหลบหนีการสู้รบกันอย่างน่าเวทนา ดังปรากฏในหลายประเทศแถบแอฟริกา เราอาจจะได้เห็นผู้คนและทหาร ชั้นผู้น้อยล้มตายด้วยเหตุผลเพียงว่าเพื่อรักษาผืนแผ่นดินที่พิพาท ตามแผนการกระหายอำนาจของกลุ่มล้าหลังคลั่งชาติพวกนี้

ทางฝ่ายรัฐบาลเองนั้นเล่านอกจากจะดำเนินนโยบาย ทางการทูต แบบตีสองหน้ากับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว หลังจากที่เกิดปัญหาความกินแหนงแคลงใจกับกลุ่มการเมือง ที่ส่งเสริมตัวเองให้ขึ้นสู่อำนาจ ก็พยายามเอาใจโดยการเล่นการเมืองแบบตีสองหน้าอีกเช่นกัน โดยแสร้งว่าไม่ยอมรับการกดดันทางนโยบายจากกลุ่มนี้ แต่กลับส่ง ส.ส.คนสนิทกับหัวหน้ารัฐบาลเข้าร่วมกระบวนการดังกล่าวโดยหวังเพื่อแสดงให้ เห็นว่ายังมีไมตรีกันอยู่ และหวังผลทางการเมืองในเบื้องลึกคือการเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่บนสถานการณ์ความ ขัดแย้งในกระแสความรักชาติที่ดุเดือดเลือดพล่าน

นอกจากนั้นการพยายามปลุกกระแสคลั่งชาติโดยการ ยอมลงทุนให้คนของตัวเองถูกจับนั้น ก็ยังหวังผลของการกลบกระแสของการเรียกร้องผลของการค้นหาความจริงกรณี 91 ศพให้เงียบลงอย่างน้อยก็ชั่วคราวในระยะเฉพาะหน้าชั่วคราวก่อนที่จะมีการ เลือกตั้งใหญ่เสียก่อนหลังจากนั้นค่อยว่ากันทีหลัง เป็นแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ และเผื่อฟลุคจุดกระแสติดก็จะได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาดพรรคเดียวไป เลย

แต่ก็เป็นที่น่าดีใจที่คนไทยส่วนใหญ่ติดตามข่าว สารด้วยสนใจและเห็นใจผู้ถูกจับ แต่ไม่หลงกลตกเป็นเหยื่อของอุบายอันซ่อนเร้นนี้ กระแสการปลุกความรักชาติจึงไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นกระแสความคลั่งชาติตามที่ กลุ่มการเมืองและรัฐบาลมุ่งหวัง เหตุดังกล่าวนี้มิใช่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รักชาติ แต่คนไทยในยุค “2G ครึ่ง” นี้เข้าถึงเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้หลายทางนอกเหนือจากสื่อของกลุ่มการเมืองดังกล่าว และสื่อกระแสของรัฐบาล ทำให้คนไทยได้รู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ ถึงแม้ว่าจะรู้ไม่หมดทุกอย่างถึงเบื้องหลังอุบายดังกล่าวก็ตาม

แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดคนไทยเรารู้ว่าหากเกิด เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา เราก็จะเป็นเหมือนกับอีกหลายๆ ประเทศที่ตกเป็นเหยื่อของสงคราม ผู้คนบาดเจ็บล้มตายโดยไม่มีเหตุผล มีแต่ความอดอยากยากแค้น ดังปรากฏเป็นข่าวที่รับรู้กันโดยทั่วไป คนไทยเรารู้ว่าโลกยุคใหม่มิใช่ยุคชาตินิยมล้าหลังคลั่งชาติที่เมื่อเกิดความ ขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องสู้รบกันให้แตกหักกันไปข้างหนึ่งอีกต่อไปแล้ว

คนไทยรู้ว่าอย่างไรเสียเรากับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา ลาวหรือพม่าและแม้แต่มาเลเซียก็ตามเราไม่สามารถยกประเทศหนีกันไปได้ และก็หมดยุคที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดครองประเทศอื่นมาเป็นของตนเองอีกต่อไป ที่สำคัญก็คือแน่ใจได้อย่างไรว่าหากเรารบแล้วจะชนะ เพราะแม้แต่สหรัฐอเมริกาที่เป็นมหาอำนาจทางทหารยังรบแพ้ในสงครามเวียดนาม และกำลังแพ้อีกในสงครามอิรักจนโอบามาต้องออกนโยบายว่าจะถอนทหารเพื่อไม่ให้ เสียหน้าการเป็นมหาอำนาจของตนเอง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไทยเราจะรบชนะแต่ก็คงหืดขึ้นคอ หรือสะบักสะบอม สูญเสียมาก แต่เราก็จะแพ้ในเวทีโลก แต่หากจะพูดแบบไม่เกรงใจละก็ทหารไทยเราห่างสมรภูมิไปนาน ต่างจากทหารกัมพูชาที่รบมาทั้งชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารเขมรแดงที่ฮุน เซนเอามาใช้งาน ว่ากันว่าทหารกัมพูชาเชื่อว่าหากสู้กันตัวต่อตัวแล้วล่ะก็ต้องใช้ทหารไทยถึง 3 หรือ 5 คน สู้กับทหารกัมพูชาเพียงคนเดียวจึงจะเอาชนะได้

การเจรจาด้วยสันติวิธี การตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน การเป็นเพื่อนบ้านที่มีไมตรีต่อกันต่างหากที่เป็นนโยบายที่สมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย การได้เปรียบเสียเปรียบกันบ้างเล็กๆ น้อยๆ อยู่ที่ฝีมือของกระทรวงการต่างประเทศและผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะเป็นผู้ดำเนิน การ ซึ่งฝีมือทางด้านการต่างประเทศหรือทางการทูตของไทยก็ปรากฏเป็นเป็นที่เลื่อง ลือในความยอดเยี่ยมมาช้านาน ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือแม้แต่เราจะได้ประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรซึ่งเป็น ผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง เรายังไม่ตกเป็นประเทศที่เป็นฝ่ายแพ้สงครามเลย แต่ปัจจุบันเรากลับท้าตีท้าต่อยกับเขาไปทั่ว นับเป็นยุคที่ตกต่ำที่สุดของนโยบายการต่างประเทศของไทยเรา ซึ่งยังไม่รวมถึงการที่ให้เลขานุการรัฐมนตรีฯ ทำหน้าที่ให้ข่าวสำคัญๆ ต่อสื่อมวลชนแทนโฆษกกระทรวงฯ ทั้งๆ ที่ไม่มีแนวธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูตแต่อย่างใด

ประเด็นสำคัญที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ การที่เรายอมรับคำพิพากษาของศาลกัมพูชา โดยไม่มีการอุทธรณ์ซึ่งทำให้คดีถึงที่สุด โดยความหมายก็คือเรายอมรับเขตอำนาจศาลกัมพูชาว่ามีอำนาจเหนือเขตแดนดังกล่าว ทำให้เราต้องเสียเปรียบหรืออำนาจต่อรองในการปักปันเขตแดนในภาพรวมต่อไปในอนาคต ซึ่งเข้าหลักกฎหมายปิดปากที่ทำให้เราแพ้คดีประสาทพระวิหารในศาลโลกมาแล้วในอดีต

ถึงแม้ว่านายอภิสิทธิ์จะพยายามชี้แจงว่าคำ พิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความก็ตาม แต่ก็เป็นการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวเพราะแม้ว่าในคำบังคับจะผูกพันเฉพาะ คู่ความหรือคู่กรณี แต่หลักกฎหมายที่ศาลได้วางไว้ย่อมเป็นแนวที่ต้องปฏิบัติตาม ดังจะเห็นได้จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หรือคำพิพากษาของศาลปกครองที่ผ่านมา ที่สำคัญก็คือกรณีคำพิพากษาฎีกาคดีอาชญากรสงครามหรือกรณีการยึดทรัพย์ของผู้นำรัฐบาลที่ถูกรัฐประหาร เป็นต้น

ฤๅว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะถูกจารึกไว้ใน ประวัติศาสตร์ชาติไทย ว่าเป็นยุคที่เราต้องเสียดินแดนให้กัมพูชาเพราะความ “คลั่งชาติ” ของคนบางกลุ่ม และความ “อ่อนหัด” ของผู้นำรัฐบาลนั่นเอง

กรุงเทพธุรกิจ, วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

ผมเห็น”เด็ก”กำลังจะตาย.เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงราย

3 August 2010 Leave a comment

ผมเห็น”เด็ก”กำลังจะตาย.เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงราย

โดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ

ไม่มีความอัปยศอดสูใดใดในการบังคับใช้กฎหมายในช่วงชีวิตของผมที่ได้เห็นการตั้งข้อหากับเยาวชนและเด็กที่แสดงออกทางการเมืองที่มีรัฐธรรมนูญรองรับด้วยข้อหาฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินฯกับนายธนิต บุญญนสินีเกษม แกนนำกลุ่มพลังมวลชนเชียงราย นายกิตติพงษ์ นาตะเกศ อายุ 24 ปี และนายนิติ เมธพนฎ์ อายุ 23 ปี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏ นายเอกพันธ์ ทาบรรหาร อายุ 19 ปี นายสาทิตย์ เสนสกุล อายุ 19 ปี จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเด็กอายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย

ในชั้นแรก ศอฉ. แถลงว่าการจับน.ร.-น.ศ.ทั้ง 5 คนเนื่องจากมีความผิดพ.ร.บ.การจราจรฯ แต่ความจริงแล้วตามบันทึกแจ้งข้อหาของ สภ.เมืองเชียงราย ระบุไว้ชัดเจนว่าถูกจับเนื่องจากฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตามมาตรา 9 (1) และ (2) คือ ห้ามไม่ให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หรือกระทำการใดเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และ ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือการทำให้แพร่หลาย ซึ่งหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักร ทั้งที่ข้อความที่นักเรียนและนักศึกษาทั้ง 5 คนถือไม่ได้มีข้อความใดเลยที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าวเลย

ข้อความที่ว่า คือ ‘ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์’ ‘นายกครับอย่าเลิก พรก.ฉุกเฉินนะครับ ไม่งั้นรัฐบาลจะพัง’ และ ‘พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องคงไว้เพื่อไม่ให้ความจริงปรากฏ’ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ถึงแม้ไม่ได้เรียนกฎบัตรกฎหมายมาเลยก็ย่อมที่จะรู้ว่าหามีความผิดตามกฎหมายใดใดไม่แม้แต่ พรก.ฉุกเฉินฉบับนี้ที่ให้อำนาจล้นฟ้าแก่เจ้าหน้าที่เองก็ตาม มิหนำซ้ำเจ้าหน้าที่ยังส่งตัวนักเรียนชายผู้นั้นไปยังสถานพินิจฯเสียอีกแต่สถานพินิจฯให้เด็กชายผู้นั้นไปพบพนักงานคุมประพฤติเซ็นต์ชื่อแล้วแจ้งว่าในวันที่ 30 ก.ค.53 ให้เด็กชายผู้นั้นกลับไปยังสถานพินิจอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากการใช้อำนาจที่เกินเลยในการตั้งข้อหาแก่เด็กและเยาวชนดังกล่าวนี้แล้ว ยังมีการคุกคาม ผู้ถูกกล่าวหาด้วยการเข้าไปถ่ายภาพและยึดโน๊ตบุ๊กของเด็กชายผู้นั้นไปอีกและจากรายงานข่าวของข่าวสดออนไลน์ประจำวันที่ 25 ก.ค.53 รายงานข่าวจากคณะทำงานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีความพยายามจากนายทหารยศพันตรี สังกัดจังหวัดทหารบกเชียงราย ไปติดต่อเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งในเชียงรายให้ไปกล่อมนักเรียนและนักศึกษาทั้ง 5 คนให้สารภาพว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดถูกว่าจ้างจากนายธนิต แกนนำกลุ่มพลังมวลชนเชียงราย แล้วจะช่วยให้ทั้ง 5 คนพ้นข้อกล่าวหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่น.ร.-น.ศ.กลุ่มนี้บอกปฏิเสธไป เนื่องจากไม่เป็นความจริง

การดำเนินคดีกับเด็กนักเรียนและนักศึกษากลุ่มนี้เป็นการบ้าจี้หรือเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ที่พยายามที่จะยัดเยียดความผิดให้กับเด็กเพื่อที่จะสร้างผลงานโดยไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม โดยใช้วิธีข่มขู่ให้เด็กและผู้ปกครองกลัวในสารพัดวิธีแทนที่จะปฏิบัติต่อเด็กซึ่งเป็นผู้เยาว์ด้วยเมตตาธรรม

จากประสบการณ์ในชีวิตของผมที่ล่วงพ้นวัยกึ่งศตวรรษมาหลายปียังไม่เคยพบเห็นการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเช่นในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่อยู่ในภาวะของการปฏิวัติรัฐประหารก็ตามก็ยังไม่เคยมีการตั้งข้อหาแก่เด็กนักเรียนที่ถือป้ายแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในผืนแผ่นดินที่ผู้ปกครองของรัฐได้แต่พร่ำบอกว่าปกครองบ้านเมืองด้วยนิติรัฐเช่นนี้

คำว่านิติรัฐนั้นความหมายโดยย่นย่อคือการปกครองด้วยกฎหมาย แต่ในความหมายที่แท้จริงคือการปกครองด้วยหลักกฎหมาย เพราะถ้าไม่ยึดถือหลักกฎหมายแล้วคณะปฏิวัติรัฐประหารที่เป็นเผด็จการทั้งหลายก็ออกกฎหมายมาบังคับใช้เอากับราษฎรเช่นกัน หลักกฎหมายที่ใช้กับหลักนิติรัฐที่ว่าว่านี้ก็คือการกระทำใดใดของฝ่ายบริหารต้องชอบด้วยกฎหมายที่อออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติและทั้งการกระทำใดใดของฝ่ายบริหารและการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติต้องไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือการจำกัดอำนาจของฝ่ายบริหารไม่ให้ใช้เกินกว่าขอบเขตความจำเป็นนั่นเอง

การใช้อำนาจตาม พรก.ฉุกเฉินฯของรัฐบาลชุดนี้ไม่ว่าจะเป็นการปิดสื่อ อายัดธุรกรรมทางการเงิน จับบุคคลไปคุมขังหรือเรียกบุคคลที่แสดงออกทางการเมืองไปชี้แจงนั้นขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้งเพราะจำกัดสิทธิและเสรีภาพเกินกว่าเหตุตามมาตรา 29 และยังขัดต่อมาตรา 27 ที่คณะรัฐมนตรีต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นหลักอยู่เสมอ

ป่วยการที่แกนนำของรัฐบาลตลอดจนรองเลขา ครม.ที่พร่ำบอกอยู่เสมอว่าการบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉินฯนี้สุจริตชนไม่เดือดร้อน ตัวอย่างนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่สุจริตชนได้รับความเดือดร้อนเพราะเหตุไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้ เพราะเสรีภาพนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด และเสรีภาพนั้นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่มนุษย์จะยอมสูญเสียก่อนชีวิตของตนเองจะสูญเสียไป

อันที่จริงแล้วการเรียกร้องให้ยกเลิกการบังคับใช้หรือการประกาศสถานการณ์ตาม พรก.ฉุกเฉินฯนั้นยังไม่เพียงพอต่อความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพเสรีภาพของบุคคลด้วยซ้ำไป ในระยะยาวแล้วตัว พรก.ฉุกเฉินฯเองก็มีปัญหาตั้งแต่เริ่มร่างกฎหมายตั้งแต่แรกแล้ว ดังจะเห็นได้จากการต่อต้านจากหลายๆองค์กร จนมหาวิทยาลัยเที่ยงถึงกับทำการเผาร่างกฎหมายฉบับนี้จนเป็นข่าวเกรียวกราวมาแล้ว

 

หลายคนกังวลว่าหากเลิก พรก.ฉุกเฉินฯไปแล้วจะเอากฎหมายอะไรมาใช้ ผมเห็นว่าปกติกฎหมายธรรมดาก็เพียงพออยู่แล้ว หากเห็นว่ากฎหมายธรรมดาไม่เพียงพอก็ยังกฎหมายอีกสองฉบับที่มีอานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า พรก.ฉุกเฉินฯมากนักก็คือ พรบ.กฏอัยการศึกฯและ พรบ.ความมั่นคงฯนั่นเองเพียงแต่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเป็นฝ่ายทหารและกอ.รมน.เท่านั้นเอง(ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่นายกฯฝ่ายพลเรือนและตำรวจไม่ถูกใจนัก)

หากยังขืนคง พรก.ฉุกเฉินฯต่อไปอีก ผมว่าหมอฟันคงต้องตกงานหรือปิดคลินิกกันเป็นระนาวแน่ เพราะแค่นี้ประชาชนคนไทยก็อ้าปากกันไม่ค่อยได้อยู่แล้วครับ

มติชนออนไลน์ 02 สิงหาคม 2553