สมหมาย ทองประเสริฐ

นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ

ประวัติ นายแพทย์ สมหมาย ทองประเสริฐ

เกิด : 27 ธันวาคม พ.ศ.2464
อายุ : 91 ปี
ภูมิลำเนา : จ.สิงห์บุรี
พี่น้อง : 7 คน
ประวัติการศึกษา นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ :
– โรงเรียนเซนต์ปีเตอร์ ถนนสี่พระยา จนจบ ม.5
– โรงเรียนอำนวยศิลป์ ม.6 – ม.8
– จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะเภสัชศาสตร์ ปริญญาตรี
– แพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล รุ่น 55

ประวัติการทำงาน นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ :
– สถานเสาวภา สภาชาดไทย ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับ วัคซีน, เซรุ่ม
– แพทย์ประจำแผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลศิริราช
– หัวหน้าศัลยแพทย์ โรงพยาบาลศิริราช
– ควบคุมดูแล คลังโลหิต โรงพยาบาลศิริราช
– แพทย์ประจำ โรงพยาบาลสิงห์บุรี
– ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสิงห์บุรี
– นายแพทย์ประจำ สาธารณสุข จ.สิงห์บุรี
– เปิดคลินิกรักษาโรงมะเร็ง จ.สิงห์บุรี (เชี่ยวชาญการใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคมะเร็ง)

———————————————-

บริษัทผลิตวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

วันที่ 14 มีนาคม 2552 – เวลา 09:39:51 น.

ว่ากันว่า หลายประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร แคนาดา และบางรัฐของสหรัฐฯ สั่งใช้วัคซีนตัวนี้แพร่หลายขนาดเป็นวัคซีนพื้นฐานกันเลย ทางบริษัทจึงต้องผลิตในจำนวนที่มากขึ้น
 
นพ. สุชัย กิจศิริพรชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า วัคซีน HPV สี่สายพันธุ์ เป็นวัคซีนพร้อมใช้แบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยใช้ฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่งคณะกรรมการอาหารและยาแห่งประเทศไทย (อย.) ได้อนุมัติให้ใช้เมื่อสองปีที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV (human papillomavirus) ชนิดที่ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกร้อยละ 70 และเชื้อ HPV ชนิดที่ 6 และ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุร้อยละ 90 ของโรคหูดอวัยวะเพศ ทั้งนี้ โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขและสุขภาพที่น่ากังวลมากทั่วโลก โดยข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ คาดว่าในปี 2551 มีผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศไทยประมาณ 10,000 คน และเกือบครึ่งหนึ่งได้เสียชีวิตลง ดังนั้นหน่วยงาน Strategic Advisory Group of Experts (SAGE) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์การอนามัยโลกหรือ WHO จึงได้แนะนำให้ทุกประเทศผลักดันวัคซีน HPV สู่ระบบวัคซีนพื้นฐานของทุกประเทศ
 
แม้ว่าวัคซีนตัวนี้ ยังไม่ได้ขึ้นทำเนียบเป็นวัคซีนพื้นฐานในเมืองไทย แต่ก็เป็นวัคซีนที่น่าจับตา เพราะประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค เป็นกลุ่มประเทศที่พบการเกิดมะเร็งปากมดลูกมากเป็นลำดับต้นๆ
 
นพ. วิสิทธิ์ สุภัครพงษ์กุล ประธานชมรมคอลโปสโคปีและพยาธิสภาพปากมดลูกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า " ปัจจุบันวัคซีน HPV ที่ขึ้นทะเบียนในตลาดมีอยู่สองชนิด คือทั้งชนิดสี่สายพันธุ์ (ชนิด 16, 18, 6 และ 11) และสองสายพันธุ์ (ชนิด 16 และ 18) เนื่องจากโรคมะเร็งปากมดลูกเป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในสตรีไทย และยังเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ การป้องกันที่มากขึ้นอีกระดับด้วยการใช้วัคซีน HPV ร่วมกับการตรวจคัดกรองเป็นประจำ เช่น ตรวจแปปสเมียร์ จะช่วยให้ผู้หญิงลดความเสี่ยงจากมะเร็งปากมดลูกได้มากยิ่งขึ้น ……………………………………… "

ต่อจาก http://mynoz.spaces.live.com/blog/cns!2AAF032065B8040B!576.entry

---

NEW EDIT as 10.11.2009

เนื่องจากได้รับข้อความดังข้างล่างนี้ครับ
เลยมีความจำเป็นต้องลบข่าวดังกล่าวบางส่วนออก
จะได้ไม่ต้องลำบากใจกัน

แต่จริงๆ เข้าใจว่าเห็นผ่านๆจากเวปมติชนมั้ง หรือไม่ก็กรุงเทพธุรกิจ จำไม่ได้แน่ชัด
ของวันที่ 14 มีนาคม 2552 – เวลา 09:39:51 น.

แล้วเก็บข่าวเอาไว้ในนี้ เพราะกลัวว่าหาไม่เจอ
แค่จะเก็บเพื่อเป็นข้อมูลให้เพื่อนๆหรือคนใกล้ชิดเข้ามาอ่านเฉยๆ
ถ้า อย. คิดว่ามันผิดขนาดนั้น ก็คงต้องลบ
เก็บข่าวเอาไว้อ่านเอง เงินก็ไม่ได้ เวลาก็เสียไป ถ้าโดนฟ้องจะแย่เอา

ขอความกรุณาช่วยลบข่าวลดราคาวัคชีนHPVใน blog
5/11/2009 6:09:36 PM

เรียน คุณ Noz,
 
ดิฉันเป็น PR manager ของบริษัท MSD Thailand คะ เนื่องจากทางสำนักงานอาหารและยาตรวจพบว่ามีข้อมูลเรื่องลดราคาวัคชีนมะเร็ง ปากมดลูกใน blog ของคุณ Noz ใน spaces.live.com ตาม linkนี้ http://mynoz.spaces.live.com/blog/cns!2AAF032065B8040B!735.entry
 
ขอเรียนอธิบายว่ากฎหมายไม่อนุญาติให้มีการเผยแพร่ ข้อมูลเกี่ยวกับราคายาให้กับประชาชนทั่วไป จึงขอความกรุณาให้คุณช่วยลบlinkดังกล่าวออก หากคุณ noz มีข้อสงสัยใดๆสามารถติดต่อดิฉันได้ที่
 
MSDThailand
02 262 5845 หรือ 081 834 8613
กราบขอบพระคุณมากคะ

P.S.1 ถ้าจำไม่ผิด ปี 2009 ประเทศ AUS ได้ผลักดันให้ วัคซีน HPV เป็นวัคซีนพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว อ่านจากเวปข่าวใน AUS หลังจากที่เป็นนโยบายหาเสียงของพรรคที่ได้เป็น รบ. จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด

P.S.2 ถ้า อย. เข้ามาอ่านอีกครั้ง รบกวนไปเช็คหลายๆเวป ที่จำหน่ายสินค้า ที่ขึ้นทะเบียนยา เห็นจำหน่ายมานานก็ไม่โดนปิดซักที ส่ง email ไปให้ตาม email ใน link ของเวป อย. เอง … ไม่เคยได้รับ email ตอบกลับใดๆ … ส่วนเวปดังกล่าว ก็เปิดขายกันอยู่

P.S.3 เวปบอร์ดหลายๆเวป มีการสอบถามราคายาที่ซื้อกันมากมายเลยครับ แบบนั้นผิดไหม ประเภท ซื้อ pravix ร้านไหนถูก, หรือไรประเภทนี้ ต้องลบหรือไม่ … หรือถ้าผมโทรไปสอบถาม ราคาวัคซีนหรือราคายา ตาม รพ. ต่างๆ หรือตามร้านขายยาต่างๆ แล้วเอามาลงที่เวป ว่าโทรไปถามมา ที่นี่คิดเท่านี่ ที่นั่นคิดเท่านี่ เปรียบเทียบกัน ผมจะโดนจับไหมครับ … คือกลัวโดนจับนิดนึงน่ะครับ พรบ.คอมฯ ฉบับล่าสุด ค่อนข้างโหด

วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

เคยหาข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
แต่ว่าข้อมูลที่ได้ในไทย ไม่ค่อยมีมากนัก
ประกอบกับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ พอเจอบทความนี้ เลยคิดว่าเก็บเอาไว้ดีกว่า

กลัว’มะเร็ง’ อยากฉีด ‘วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก’ แต่จะรู้ได้ยังไงว่าไม่ถูกเขา ‘หลอก’ ฟรี

สินค้าใดที่สามารถรักษาชีวิตได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะขายดิบขายดี แม้ราคาจะแพงลิบลิ่ว เช่น ‘วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก’ ที่กำลังแพร่หลายในขณะนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วร.พ.หลายแห่งให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ทำให้คุณอาจเสียเงิน 2 หมื่นไปฟรีๆ พร้อมความรู้สึก?!?

หนึ่งในสินค้าที่กำลังเป็นความหวังของผู้หญิงทั่วโลกว่า จะช่วยรักษาชีวิตให้รอดจากโรคร้าย คือ วัคซีนที่ถูกทำมาเผยแพร่สู่ท้องตลาดในชื่อ ‘วัคซีนป้องกันมะเร็วปากมดลูก’ ในสังคมไทย วัคซีนป้องกันมะเร็วปากมดลูกกลายเป็นสินค้าสุดฮ็อตสำหรับผู้หญิงที่มีราย ได้ปานกลาง – ระดับสูง มาตั้งแต่ต้นปี 2550 เมื่อมีการจดทะเบียนวัคซีนตัวแรก ที่ชื่อ ‘Gardasil’ ซึ่งผลิตโดย บริษัท เมิร์ค (Merck) ในเดือนมีนาคม ปี 2550 และร้อนแรงยิ่งขึ้นหลังจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อบริษัทแกล็ค สมิธ แอนด์ ไคลน์ (Glax Smith and Kiine) จดทะเบียบวัคซีน Cervarix ตัวที่ 2 และกลายเป็นคู่แข่งกันแพร่ขยายจุดจำหน่ายที่โรงพยาบาลเอกชน ไปยังโรงพยาบาลของรัฐ

ด้วยสนนค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนที่สูง ถึง 20,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งวัคซีนดังกล่าวยังไม่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกให้กับผู้ที่รับการ ฉีดทุกคนได้ โดยกลุ่มผู้ที่ฉีดแล้วได้ผลมากที่สุด คือ ผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน และอยู่ในกลุ่มอายุ 9 – 12 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ยังไม่สามารถหารายได้ได้เอง

คำถามที่พุ่งไปสู่สินค้าตัวนี้ ณ ตอนนี้คือ ใครคือผู้ที่ต้องใข้ และใครคือผู้ที่ต้องจ่าย

วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ‘ชื่อซ่อนปม…ร่มที่ยังมีรอยรั่ว’

‘วัคซีนป้องกันมะเร็วปากมดลูก’ เพิ่งถูกใช้ในประเทศไทยเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา วงการแพทย์รู้จักวัคซีนนี้ในชื่อว่า ‘วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV’ หรือ ‘Human papillomavirus’ ซึ่งมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ โดยบางสายพันธุ์เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18 ที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก 70 % อย่าง ไรก็ตาม นอกเหนือจาก HPV 2 สายพันธุ์ดังกล่าวแล้ว HPV สายพันธุ์อื่นๆ และพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ ก็ยังสามารถเป็นสาเหตุของการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้เช่นกัน  ดังนั้น โอกาสที่วัคซีนนี้จะช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูกจึงอยู่ที่ประมาณ 70 % เท่านั้น

‘ใครควรฉีด ฉีดเมื่อไหร่ มีฤทธิ์นานแค่ไหน’ ขีดจำกัดที่มักไม่พูดถึง

ข้อจำกัดของวัคซีนที่มักถูกเผยแพร่ต่อสังคม คือ วัคซีนดังกล่าวจะให้ผลดีเฉพาะกับผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน และยังมีอายุน้อย โดยการไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด เพราะสาเหตุของการติดเชื้อไวรัส HPV ที่ปากมดลูก มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจาก HPV เป็นเชื้อที่สามารถติดได้ง่ายมาก จากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก โดยมีโอกาศติด HPV ถึง 80 % และเมื่อร่างกายได้ติด HPV มาแล้ว วัคซีนดังกล่าวจะไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานการติดเชื้อได้

ส่วนการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ที่เนื้อเยื่อปากมดลูก ซึ่งมักถูกเสนอเป็นวิธีการตรวจเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกวิธีหนึ่งนั้น หากคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์และเข้าตรวจหา HPV แล้วพบว่าไม่มีการติดเชื้อ จะไม่ได้หมายความว่า จะสามารถฉีดวัคซีนดังกล่าวแล้วได้ผล เพราะการตรวจการ HPV เป็นการตรวจหาร่องรอยแผล หรือปฏิกิริยาที่เกิดจากการติดเชื้อ HPV เท่านั้น ซึ่งไม่มีน้ำหนักยืนยันว่า เราติดเชื้อ HPV แล้วหรือไม่ เพราะหากมี HPV จำนวนน้อยที่ปากมดลูก ก็อาจตรวจไม่พบเชื้อ

‘ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยมีเพศสัมพันธ์ มาแล้วและสนใจฉีดวัคซีนตัวนี้ และได้รับคำแนะนำชักชวนจากสถานพยาบาลให้ตรวจหาการติดเชื้อไวรัส HPV เพื่อให้รู้แน่ว่า เมื่อฉีดแล้วจะได้ผลหรือไม่ ขอให้แน่ใจได้เลยว่า คุณกำลังเจอมาตรการ ‘กินสองต่อ’ เข้าให้แล้ว !!! ‘

การตลาดที่ท้าทายจริยธรรม

จาก การสำรวจข้อมูล โดยการสอบถามโรงพยาบาลเอกชน 9 แห่ง เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV และราคาวัคซีนที่ใช้ในโรงพยาบาลเอกชน พบว่า ประเทศไทยยังมียี่ห้อเดียว คือ Gardasil และพบข้อน่าสังเกตที่น่าสนใจ ดังนี้
– โรงพยาบาลหลายแห่งละเลยข้อเท็จจริงที่สำคัญว่า วัคซีนนี้อาจไม่ได้ผลกับผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว
– บางแห่งให้ข้อมูลประสิทธิภาพการทำงานของวัคซีนผิดพลาด
– มักแนะนำให้ฉีดวัคซีนยี่ห้อที่สามารถป้องกันเชื้อได้ 4 ชนิด โดยอ้างว่า มีประสิทธิภาพกว่ายี่ห้อที่ป้องกันได้ 2 ชนิด ซึ่งเป็นการให้ข้อมูลที่นำไปสู่ความเข้าใจผิด เพราะวัคซีน 2 ชนิดที่เพิ่มเข้ามา คือ HPV สายพันธุ์ 6 และ 11 เป็นสายพันธุ์ ที่ก่อความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกที่ต่ำมาก
– ไม่มีโรงพยาบาลใดให้ข้อมูลว่า วัคซีนนี้ยังอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา บางแห่งระบุว่า วัคซีนมีช่วยเวลาการออกฤทธิ์ที่ชัดเจน และไม่มีผลข้างเคียง ทั้งที่ผลวิจัยในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปได้
– โรงพยาบาลเกือบทุกแห่งเสนอ ‘โปรโมชั่น’ ในการฉีดวัคซีนนี้

คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจจะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV

1 ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์แล้ว วัคซันนี้อาจไม่เป็นประโยชน์กับคุณเลย เพราะมีโอกาสสูงมากที่คุณเคยติดเชื้อไวรัสดังกล่าวมาแล้ว
2 ถ้า ได้รับการชักชวนให้ตรวจว่า คุณติดเชื้อไวรัส HPV แล้วหริอไม่ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจฉีดวัคซีนดังกล่าว จงปฏิเสธ เพราะผลการตรวจสอบที่ได้รับ ไม่มีความแน่นอนที่มากพอ
3 ถ้าคุณอายุมากกว่า 26 ปี ผลตอบสนองจากการฉีดวัคซีนอาจไม่ดีเท่ากับคนอายุน้อยกว่า
4 ถ้า คุณสนใจฉีดวัคซีนนี้ เพราะเข้าใจว่าจะทำให้ไม่จำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เช่น แปปสเมียร์ VIA หรือ Thin prep อีกต่อไป ถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดมหันต์ และนำชีวิตไปสู่ความเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะวัคซีนนี้ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้เพียง 70 % เท่านั้น
5 ถ้าคุณ ได้รับทราบข้อมูลว่า วัคซีนนี้ไม่ต้องมีการฉีดกระตุ้น หมายความคุณถูกหลอกแล้ว เพราะขณะนี้ระยะเวลาในการป้องกันการติดเชื้อ HPV ของวัคซีนยังไม่เป็นที่รู้อย่างแน่ชัด เพราะอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย

รู้จักมะเร็งปากมดลูก … ภัยร้ายของผู้หญิง

ศ.นพ.จตุพล ศรีสมบูรณ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก ระหว่างการสัมมนาระดับชาติ ว่า สาเหตุของโรคนี้ พบว่าร้อยละ 99.7 เกิดจากเชื้อไวรัส HPV ซึ่งมีความทนทานสูง นอกจากนี้ ยังไม่แสดงอาการเมื่อติดเชื้อ เพราะเกิดที่ระดับผิวสัมผัส แต่ไม่ได้เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ไม่มีอาการปรากฎชัดเจน โดยไวรัสนี้จะไม่ทำให้เซลล์ตาย แต่จะทำให้เกิดเนื้องอก เมื่อเป็นมะเร็งระยะแรกจะไม่มีอาการปรากฎ โดยมีระยะเวลานับตั้งแต่ติดเชื้อไวรัส HPV จนเกิดโรคประมาณ 10 ปี และแม้อยู่ในวัยหมดประจำเดือนก็สามารถเป็นโรคนี้ได้

ศ.นพ.จตุพล กล่าวว่า สาเหตุความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ คือ การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน กินยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย มีบุตรหลายคน การสูบบุหรี่ และการมีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ ทั้งนี้ วิธิป้องกันโรคนี้มีหลายวิธี เช่น การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมข้างตน การฉีดวัคซีน HPV เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน การตรวจคัดกรองด้วยการตรวจแปปสมียร์ การตรวจการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกด้วยน้ำส้มสายชู (VIA) และการตรวจหาการติดเชื้อ HPV

‘ส่วนวิธีการป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่ดี ที่สุดในขณะนี้ คือ ผู้หญิงวัย 35 ปีขึ้นไป ควรรับการตรวจแปปเสมียร์อย่างสม่ำเสมอ 1 – 5 ปีต่อครั้ง’ ศ.นพ.จตุพล กล่าว

ที่มา นิตยสาร ‘ฉลาดซื้อ’ โดยมูลนิธีเพื่อผู้บริโภค ฉบับที่ 83 เขียนโดย กรองทรรศน์ อัศพัตร

Inguinal Hernia (ไส้เลื่อน)

โรคไส้เลื่อน (Hernia) หมายถึง ภาวะที่ลำไส้เลื่อนออกนอกช่องท้องผ่านผนังช่องท้องที่บอบบาง ตำแหน่งที่ลำไส้จะเลื่อนออกนอกช่องท้องมีหลายแห่ง เช่น บริเวณขาหนีบ (Groin Hernia), ผนังหน้าท้อง (Abdominal Hernia), สะดือ (Umbilical Hernia), และ รอยแผลผ่าตัด(Incisional Hernia) เป็นต้น

ในท้องของเรามีลำไส้อยู่สองส่วน ส่วนแรกคือลำไส้เล็ก เป็นลำไส้ส่วนที่ต่อกับกระเพาะอาหาร ขดอยู่ตรงกลางท้อง ทำหน้าที่ย่อยอาหารต่อจากกระเพาะ อีกส่วนคือลำไส้ใหญ่ เป็นส่วนที่อยู่รอบๆลำไส้เล็ก  ทำหน้าที่เก็บอุจจาระและปล่อยออกไป ลำไส้พวกนี้จะมีเนื้อเยื่อบางๆเหมือนกระดาษ ที่ขึงลำไส้ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ที่ทางหน้าท้องจะมีเนื้อเยื่อบุผนังและกล้ามเนื้อบังลำไส้ไว้อีกที จากองค์ประกอบดังกล่าวจึงทำให้ลำไส้มีที่อยู่ประจำของมันอยู่ในช่องท้อง หากวันใดที่ลำไส้มีเหตุให้มันเปลี่ยนไปอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่ เราก็จะเรียกมันว่า ‘ไส้เลื่อน’

ทำไมไส้ถึงเลื่อน

ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดไส้เลื่อนก็คือ ‘ผนังหน้าท้อง’ ขาดความแข็งแรง โดยสาเหตุต่างๆกันไป
1 ผิดปกติตั้งแต่เกิด บางคนมีช่องทางระหว่างช่องท้องกับลูกอัณฑะ(ซึ่งคนปกติจะปิดสนิท) บางคนขาดกล้ามเนื้อหน้าท้องบางตัว หรือมีความอ่อนแอของผนังหน้าท้องตั้งแต่เกิด ทั้งนี้แม้แต่จะเป็นแต่เกิด แต่อาจจะมาก่อเรื่องเมื่ออายุมากแล้วก็ได้
2 การเสื่อมลงตามอายุ พบในผู้สูงอายุ ซึ่งกล้ามเนื้อผนังหน้าท้องอ่อนกำลังลง
3 อุบัติเหตุที่หน้าท้อง ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลงหรือเกิดความเสียหายต่อผนังหน้าท้อง
4 แรงดันในช่องท้องสูง การยกของหนัก ไอบ่อย มีการเบ่งอุจจาระหรือปัสสาวะเป็นประจำ จะทำให้แรงดันในท้องเพิ่มขึ้นและค่อยๆทำให้เกิดความอ่อนแอของผนังหน้าท้อง มากขึ้นอย่างช้าๆ
5 หลังการผ่าตัดช่องท้อง เนื้อเยื่อที่ถูกผ่าจะขาดความยืดหยุ่นและเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดของหน้าท้อง หากช่วงพักฟื้นเกิดเหตุแทรกซ้อนกับแผล ก็จะทำให้เกิดไส้เลื่อนที่แผลผ่าตัดได้มากขึ้น
ปัจจัยเหล่านี้ถ้ามีเพียงข้อเดียวมักไม่เกิดอะไรขึ้น แต่หากเป็นพร้อมกันหลายๆข้อ ก็จะยิ่งเสี่ยงที่จะเกิดไส้เลื่อนได้มากขึ้น

ชนิดของไส้เลื่อน

ถ้าแบ่งตามตำแหน่งที่ตรวจพบ จะแบ่งได้เป็น
1) ไส้เลื่อนลงอัณฑะ
2) ไส้เลื่อนผนังหน้าท้องส่วนล่าง
3) ไส้เลื่อนโคนขา
4) ไส้เลื่อนแผลผ่าตัด
5) ฯลฯ ไส้เลื่อนยังมีอีกหลายชนิด แต่เจอได้น้อยกว่ามาก
การแบ่งแบบนี้ ได้ประโยชน์ในแง่ของการอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ เพราะเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ง่ายด้วยตา บางครั้งอาจจะบอกได้ถึงที่มาที่ไปของโรค และนำไปใช้ในการเลือกวิธีการในการผ่าตัด ประโยชน์อีกแง่หนึ่งก็คือบอกให้รู้ได้ว่า ไส้เลื่อนไม่จำเป็นต้องเกิดเฉพาะกับผู้ชาย และไม่จำเป็นต้องลงไข่

อาการของไส้เลื่อน

อาการในสายตาของแพทย์มีสองกลุ่มคือแบบหนักกับแบบเบา
แบบเบาๆ ก็คือ พบก้อนเคลื่อนเข้าออก หรือพบก้อนที่ค้างตุงไม่เลื่อนไปมา อาจจะไม่ปวดเลยหรือปวดมากก็ได้
แบบหนักๆ ก็อาการเหมือนกลุ่มเบาๆ แต่ว่ามีอาการของลำไส้อุดตันหรือพบการอักเสบของลำไส้และช่องท้อง โดยมากมักพบในกลุ่มที่ก้อนเลื่อนมาแล้วไม่กลับเข้าที่และมีอาการปวด
ทั้งสองกลุ่มนี้ ตัดกันด้วยเรื่องอาการลำไส้อุดตันหรือการอักเสบในช่องท้องครับ การที่แบ่งเป็นสองกลุ่มนี้ก็เพื่อเลือกว่าจะต้องผ่าตัดในทันทีเลยหรือไม่ หรือยังรอได้ ส่วนขนาดหรือลักษณะไม่ได้เป็นตัวตัดสิน เนื่องจากพบว่าส่วนใหญ่แล้วในก้อนไส้เลื่อนที่เห็นตุงๆ ไม่ใช่ไส้ แต่เป็นพังผืดโอเมนตัม Omentum เลื่อนลงมาปิด ซึ่งไส้เลื่อนที่เกิดจากพวกนี้มักไม่ก่ออันตราย ยังไม่จำเป็นต้องผ่าตัดในทันที

การรักษาไส้เลื่อน

1 ผ่าตัดไส้เลื่อน ความจริงผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อน ถ้าเป็นไปได้ควรจะผ่าตัด โดยเฉพาะในรายที่ไส้มีการเลื่อนเข้าเลื่อนออก(เพราะพวกนี้ถ้าวันไหนเลื่อน เข้าแล้วไม่ออก มักเกิดเรื่อง) เมื่อผ่าไปแล้ว แพทย์ก็จะทำการตัดและเย็บปิดช่องทางที่ผิดปกติและใช้เทคนิกการผ่าตัดเพื่อ เสริมความแข็งแรงให้บริเวณนั้น หรืออาจจะใส่วัตถุสังเคราะห์รูปตาข่ายไปพยุงส่วนนั้นให้แข็งแรง
2 ดันไส้เลื่อนกลับ ในบางรายที่มารพ.ด้วยก้อนมีขนาดโตขึ้นและเจ็บปวด ในเบื้องต้นแพทย์จะให้ยาลดปวดและจัดท่าเพื่อดันไส้เลื่อนให้กลับเข้าไป
3 รอต่อไป ในผู้ป่วยบางรายมีโรคประจำตัวหรือสภาวะร่างกายที่ไม่เหมาะสมต่อการผ่าตัด หรือเสี่ยงเกิดที่จะผ่าตัดไหว ก็จะไม่ได้รับการผ่าตัด แต่ก็จะมีการแนะนำวิธีปฏิบัติตัวเพื่อลดการเป็นหรือลดการเกิดอาการ

แล้วจะทำอย่างไรขณะรอผ่าตัดไส้เลื่อน

การป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำในช่วงที่รอผ่าตัดไส้เลื่อนเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งที่เราพอจะป้องกันได้ทั้งในรายที่เป็นแล้วและในรายที่ยังไม่เป็นก็คือ การลดความดันในช่องท้องจากการกระทำต่างๆ คือ
1 อย่าไอ – ในที่นี้คือไม่ไปรับสิ่งที่เสี่ยงต่อการไอ เช่น หยุดการสูบบุหรี่ อย่าให้เป็นหวัด ถ้าไอควรจิบน้ำอุ่นบ่อยๆ
2 อย่ายกของหนัก – การยกของหนักจะทำให้เกิดการเบ่ง และเกิดไส้เลื่อนซ้ำได้
3 อย่าเบ่งอุจจาระ – ก็คือควรกินอาหารที่มีกากใยเพื่อช่วยในการระบาย เพราะหากท้องผูกจนต้องเบ่งอุจจาระ ก็สามารถเกิดไส้เลื่อนซ้ำได้
4 อย่าเบ่งปัสสาวะ – ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นต่อมลูกหมากโตหรืออายุมาก อาจจะต้องเบ่งปัสสาวะบ่อย ทางแก้คือไปพบแพทย์ในเรื่องดังกล่าวเพื่อตรวจและรับการรักษาเพื่อให้ถ่าย ปัสสาวะคล่องขึ้น

การผ่าตัดไส้เลื่อนแบบมาตรฐาน

การผ่าตัดแบบมาตรฐานมีหลักการที่จะเข้าไปผูกตัดถุงไส้เลื่อนที่ยื่นออกมา จากนั้นก็ทำการเย็บซ่อมผนังหน้าท้องส่วนที่อ่อนแอให้แข็งแรงขึ้น เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ การเย็บซ่อมอาจใช้การเย็บดึงเนื้อเยื่อข้างเคียงเข้าหากัน ซึ่งวิธีนี้ทำได้ง่าย แต่เนื้อเยื่อที่ถูกเย็บเข้ามาหากันจะตึงมาก ผู้ป่วยมักมีความเจ็บปวดหลังผ่าตัด กลับไปทำงาน เดินตัวตรงตามปกติได้ช้า และเนื้อเยื่อที่ถูกเย็บอาจตึงมากและฉีกออกจากกัน ผนังหน้าท้องกลับมาอ่อนแอเหมือนเดิม แนวโน้มในปัจจุบันนิยมการเย็บซ่อมโดยไม่เกิดแรงตึงมากกว่า ซึ่งอาจใช้แผ่นตะแกรงสังเคราะห์ หรือการเย็บถักด้วยไหมเย็บ หลังผ่าตัดผู้ป่วยมักมีความเจ็บปวดน้อยกว่า กลับไปทำงาน เดินได้ตามปกติได้เร็ว วิธีหลังนี้มีข้อเสียตรงที่มีการใส่วัสดุแปลกปลอมเข้าในร่างกาย จึงมักต้องให้ยาปฏิชีวนะกันการติดเชื้อ และมีค่าใช้จ่ายเรื่องวัสดุสังเคราะห์หากเลือกใช้แผลผ่าตัดเป็นแผลแนวขาหนีบยาวประมาณ 4-5 cm.

การผ่าตัดไส้เลื่อนแบบใช้กล้องส่อง

เป็นการผ่าตัดเพื่อทำการซ่อมผนังหน้าท้องด้วยกล้องส่อง โดยมากจะใช้แผลขนาดเล็ก 3 แผล โดยแผลที่สะดือที่จะใส่กล้องยาว 1 cm. และแผลที่ใส่เครื่องมือยาว 0.5 cm. จากนั้นก็ทำการเลาะด้านหลังของผนังช่องท้อง ซึ่งจะมองเห็นรูไส้เลื่อนจากทางด้านหลังได้อย่างชัดเจน แล้วใช้แผ่นตะแกรงสังเคราะห์ปูคลุมกล้ามเนื้อ ตรึงด้วยหมุดเย็บ 3-4 ตัว เป็นอันเสร็จ วิธีนี้มีข้อเสียตรงที่ต้องใช้เครื่องมือราคาแพง และศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญ ต้องใช้วัสดุสังเคราะห์และยังต้องรอดูผลชัดเจนในระยะยาว จึงมักยังทำได้ไม่แพร่หลาย และเลือกใช้ในรายที่เป็นทั้งสองข้าง หรือในรายที่เป็นซ้ำหลังการทำผ่าตัดแบบมาตรฐาน ปัจจุบัน เริ่มมีการทำในผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนข้างเดียว ที่ไม่เคยผ่าตัด ถ้าผู้ป่วยต้องการการรักษาวิธีนี้

พักฟื้นหลังผ่าตัดไส้เลื่อน

ผู้ป่วยที่ทำผ่าตัดแบบใช้กล้องส่องหรือผ่าตัดแบบมาตรฐานโดยไร้ความ ตึง จะใช้เวลาพักฟื้นสั้น โดยมากมักอยู่โรงพยาบาล 2-3 วัน จากนั้นก็กลับบ้านไปทำงานได้ ผู้ป่วยที่ทำผ่าตัดแบบมาตรฐานและใช้วิธีที่เย็บเนื้อเยื่อเข้าหากันจะอยู่ โรงพยาบาลนานกว่าเล็กน้อย และมักจะกลับไปพักที่บ้านอีก 5-7 วันก่อนจะกลับไปทำงานได้ ทั้งสองวิธี แพทย์มักแนะนำให้งดการยกของหนัก ออกกำลังกายเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 อาทิตย์ ต้องไม่ลืมที่จะรักษาโรคหรือภาวะที่เป็นปัจจัยชักนำด้วย

ภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดไส้เลื่อน

พบได้บ้าง ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง เช่น การมีลิ่มเลือดบริเวณใต้แผลผ่าตัด ซึ่งเกิดจากเลือดออกจากหลอดเลือดเล็ก ๆ ขณะทำการเลาะเนื้อเยื่อ, การติดเชื้อของแผลผ่าตัด, การบาดเจ็บต่ออวัยวะข้างเคียง เช่น ท่อนำน้ำเชื้ออสุจิ, เส้นประสาทขนาดเล็กที่มารับความรู้สึกจากผิวหนัง ซึ่งทำให้มีการเจ็บแปลบหรือชา เป็นต้น

ไส้เลื่อนผ่าแล้วเป็นอีก ได้หรือไม่

หลังการผ่าตัดรักษาไส้เลื่อนขาหนีบ ผู้ป่วยมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีกทั้งข้างเดิม และเป็นใหม่อีกข้างหนึ่ง สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นซ้ำในข้างเดิมมีหลายอย่างได้แก่ การผ่าตัดที่ทำได้ไม่ถูกต้องตามเทคนิค, การรักษาไม่ได้ครอบคลุมการรักษา ปัจจัยชักนำหรือกำจัดปัจจัยชักนำไม่ได้ เช่น ผู้ป่วยไม่หยุดสูบบุหรี่ ท้องผูกต้องเบ่งเป็นประจำ ไม่ได้ทำการรักษาต่อมลูกหมากโต เป็นต้น นอกจากนี้เนื้อเยื่อที่ไม่แข็งแรงของผู้ป่วยก็เป็นปัจจัยสำคัญโดยเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุ

โดยมากหากการผ่าตัดไส้เลื่อนครั้งแรกเป็นแบบมาตรฐาน การผ่าตัดแก้ไขโดยใช้การผ่าตัดไส้เลื่อนแบบส่องกล้องก็จะมีข้อได้เปรียบ เพราะการผ่าตัดไส้เลื่อนครั้งแรกที่เลาะเข้าทางด้านหน้าจะทำให้มีเนื้อเยื่อพังผืด จำนวนมาก ตัดเลาะซ้ำลำบาก การส่องกล้องเข้าจากด้านในผนังช่องท้อง จะไม่มีพังผืดมาบดบังทำให้ทำผ่าตัดแก้ไขได้แม่นยำและต้องไม่ลืมรักษาปัจจัยชักนำด้วย จึงจะป้องกันการเป็นซ้ำอีกได้ดีที่สุด

All Information From website, search keyword ‘ไส้เลื่อน’ from google

 

 

 

S.T.O.P.

S.T.O.P. – 4 Steps for Enjoying your Life

Enjoying your life is simply a matter of the way that you feel. There is a common belief that happiness comes about as a result of having certain things (money, material goods, relationships, etc.), but in all actuality, whether or not you are enjoying your life has always boiled down to the simple question of how you feel about your life.

No amount of of money will help you to enjoy life if you are miserable on the inside. No relationship will define or complete you when a relationship – by definition – involves two or more people. No cache of toys and treasures will make you happy if you believe that you must have toys and treasures to be happy.

Bob over at Every, Every Minute started  The Desiderata Project where bloggers choose a passage from Desiderata and expand upon the concept in a blog post. I chose the following passage as a reminder that enjoying the actual journey of life is more important than not having happiness until that journey has been completed:

"Enjoy your achievements as well as your plans."

In order to provide a simple formula that people can use on a daily basis to enjoy their lives rather than constantly focusing on the future, I have used the acronym S.T.O.P.

S – Stop

There is a simple truth of the human existence, and that is that most people simply do not take the time to STOP and think about all of the things that they have in their lives to be grateful for, and they also do not pat themselves on the back for having those things as a result of their own efforts.

You can completely discount things like fancy cars, tropical vacations, beautiful homes, and trinkets and baubles. Try being grateful for the basics before you start worrying about a higher level.

Do you have a roof over your head? Are you able to read and communicate with others? Do you have enough food to survive? Before you go thinking that those things are not worthy of your gratitude, consider the fact that there are millions – millions – of people in the world who live outside, cannot read or write, or who will die from malnutrition.

From that perspective, just being alive with a full belly and a roof over your head suddenly seems like a gift, doesn’t it?

T – Take Action

Assuming that you can see that wisdom of stopping on a daily basis to be grateful for the little things in life, now ask yourself what you can do to give back every day. This isn’t a matter of starting some altruistic foundation, of tithing 10% of your income, or even of constantly focusing on the needs of others.

You can keep it much simpler than all of that, yet still put forth an effort every day to give back. How many times have we all heard that "the little things" are what matter most – especially in relationships?

Every single day, do one thing that is completely selfless. Stand at the entrance to the grocery store holding the door for a full 30 seconds as you see that elderly person using a walker heading in your direction. Pick up your neighbor’s newspaper off of the sidewalk and take it up to their door. Give a knock just to hand it over and say "Hi’ before moving on with your day. Wash the dish that someone else left in the sink even thought it isn’t your responsibility.

The possibilities are obviously endless, but the point is that these type of acts will usually take less than 5 minutes of your life, but they will make you feel great! Yesterday at the grocery store I saw a lady juggling cans and she didn’t have a cart to put them in. I  had a cart, but I didn’t have as many things as she did, so I took my stuff out of the cart and gave it to her. She was SO grateful, and I felt like a million bucks for having made the effort.

O – Organize

Sometimes the best times in our lives are completely "off the cuff" and we didn’t even know that we were going to be taking part in those activities. On the other hand, by making sure that you have time for those activities, you open up a slot for your life to pop something wonderful in there.

Every day, arrange your schedule and your responsibilities so that you have 30 or 60 minutes when you will have no responsibilities whatsoever. This is not exercise time, or time to run errands, or even a scheduled nap or meditation. This time is blank. Make no plans for it whatsoever. If you get to that point in your day and you don’t have anything better to do, then you can decide if you want to exercise, nap, run errands, etc.

The point is that no matter what you do with those 30 or 60 minutes, you send yourself the message that your life is about you. For at least 30 or 60 minutes you are going to do something that has absolutely nothing to do with anyone but yourself. Try it for a few days. Trust me, it is a freeing experience!

P – Participate

The final step in this process is participation, and this is meant as proactive participation in your life, not reactive. Almost all of us go through life with a huge pile of things that we feel we should do, but how many of those things are conscious efforts to actually participate in the process of life, rather than just going with the flow?

Regardless of what it may seem like from an outside point of view (job, family, spouse, etc.), your entire life is made up of things that you do because you want to do them. Not all things are as enjoyable as other things, but you are participating in the creative process of your life every single moment of every single day by the things that choose to do.

So ask yourself every day: "How can I proactively participate in the creation of my life today in a way that will make me feel good?"

Again, refer to the fact that most of the things that we do are reactive to our environment, and that environment is rarely there simply for our amusement, or to make us feel good. So what can you do today – and every day – that will make you feel good? After all, that is the goal, isn’t it?

In order to remember how to enjoy your life, simply S.T.O.P. Take personal responsibility for your own level of happiness every single day.

From http://www.todayisthatday.com/blog/stop-4-steps-for-enjoying-your-life/
9 Oct, 2007  Self Improvement, Personal Growth

---

I like this article and want to make sure I can read it when I need so I copy to my blog. All credit to the author of that website.

The Ten Habits of Highly Effective Brains

The Ten Habits of Highly Effective Brains

1 Learn what is the "It" in "Use It or Lose It". A basic understanding will serve you well to appreciate your brain’s beauty as a living and constantly-developing dense forest with billions of neurons and synapses.

2 Take care of your nutrition. Did you know that the brain only weighs 2% of body mass but consumes over 20% of the oxygen and nutrients we intake? As a general rule, you don’t need expensive ultra-sophisticated nutritional supplements, just make sure you don’t stuff yourself with the "bad stuff".

3 Remember that the brain is part of the body. Things that exercise your body can also help sharpen your brain: physical exercise enhances neurogenesis.

4 Practice positive, future-oriented thoughts until they become your default mindset and you look forward to every hansgrohe-downpour-air-royale-14in-shower.jpgnew day in a constructive way. Stress and anxiety, no matter whether induced by external events or by your own thoughts, actually kills neurons and prevent the creation of new ones. You can think of chronic stress as the opposite of exercise: it prevents the creation of new neurons.

5 Thrive on Learning and Mental Challenges. The point of having a brain is precisely to learn and to adapt to challenging new environments. Once new neurons appear in your brain, where they stay in your brain and how long they survive depends on how you use them. "Use It or Lose It" does not mean "do crossword puzzle number 1,234,567". It means, "challenge your brain often with fundamentally new activities".

6 We are (as far as we know) the only self-directed organisms in this planet. Aim high. Once you graduate from college, keep learning. The brain keeps developing, no matter your age, and it reflects what you do with it.

7 Explore, travel. Adapting to new locations forces you to pay more attention to your environment. Make new decisions, use your brain.

8 Don’t Outsource Your Brain. Not to media personalities, not to politicians, not to your smart neighbour… Make your own decisions, and mistakes. And learn from them. That way, you are training your brain, not your neighbour’s.

9 Develop and maintain stimulating friendships. We are "social animals", and need social interaction. Which, by the way, is why ‘Baby Einstein’ has been shown not to be the panacea for children development.

10 Laugh. Often. Especially to cognitively complex humor, full of twists and surprises. Better, try to become the next Jon Stewart (Note: I just corrected his name from "John"…which may call for a #11: Spellcheck!)

Now, remember that what counts is not reading this article-or any other-, but practicing a bit every day until small steps snowball into unstoppable, internalized habits…so, pick your next battle and try to start improving at least one of these 10 habits today!

** www.sharpbrains.com **

Fat

About Trans Fat

There are four kinds of fats: monounsaturated fat, polyunsaturated fat, saturated fat, and trans fat. Monounsaturated fat and polyunsaturated fat are the "good" fats. It is generally accepted that consumption of saturated fat should be kept low, especially for adults. Trans fat (which means trans fatty acids) is the worst kind of fat, far worse than saturated fat.

Partial hydrogenation is an industrial process used to make a perfectly good oil, such as soybean oil, into a perfectly bad oil. The process is used to make an oil more solid; provide longer shelf-life in baked products; provide longer fry-life for cooking oils, and provide a certain kind of texture or "mouthfeel." The big problem is that partially hydrogenated oil is laden with lethal trans fat.

It is only the trans fat created by the partial hydrogenation of vegetable oils that we are concerned about and that should be eliminated completely from your diet. We are not concerned with the kind of naturally occurring trans fat found in small amounts in pomegranets, cabbage, peas, or the type found in the meat and milk of cows, sheep and goats.

Partially hydrogenated oils are commonly found in processed foods like commercial baked products such as cookies, cakes and crackers, and even in bread. They are also used as cooking oils (called "liquid shortening") for frying in restaurants.

Health effects

One of the reasons that partially hydrogenated oils are used is to increase the product’s shelf life, but they decrease your shelf life.

Trans fats cause significant and serious lowering of HDL (good) cholesterol and a significant and serious increase in LDL (bad) cholesterol; make the arteries more rigid; cause major clogging of arteries; cause insulin resistance; cause or contribute to type 2 diabetes; and cause or contribute to other serious health problems.

Explanation of terms

LDL (bad) cholesterol: The main source of cholesterol buildup and blockage in the arteries.

HDL (good) cholesterol: Carries cholesterol from the blood back to the liver, which processes the cholesterol for elimination from the body. HDL makes it less likely that excess cholesterol in the blood will be deposited in the coronary arteries. (HDL levels, to be considered "normal," should be at least 35 – 40 mg/DL.)

Blood vessels: There are three types of blood vessels: arteries, veins, and capillaries. The arteries carry blood away from the heart. The capillaries connect the arteries to veins. Finally, the veins carry the blood back to the heart.

How much trans fat is in the products that we eat?

How much trans fat do we consume in a day? Some of us are consuming virtually none, because we are being extremely selective about what we eat. Some of us are consuming in excess of 15 grams of trans fat per day. If that sounds unbelievable, look at the following figures:

    *      One McDonald’s large fries contains 8 grams of trans fat.
    *      A McDonald’s apple pie contains 4.5 grams of trans fat.
    *      Four Girl Scout shortbread cookies contain 1.5 grams of trans fat.
    *      A large order of KFC Popcorn Chicken contains 7 grams of trans fat.
    *      KFC’s Chicken Pot Pie contains 14 grams of trans fat.
    *      A typical 3-piece KFC Extra Crispy combo meal, with a drumstick, two thighs, potato wedges, and a biscuit contains 15 grams of trans fat.

Incidentally, don’t think that the problem is only at McDonald’s or other fast-food chains. Nothing could be further from the truth. Many other restaurants, including "quality" restaurants, fry their food in partially hydrogenated oil and served baked goods containing partially hydrogenated fat. Many of them serve larger portions with more trans fat than McDonald’s.

What not to eat

Here are six rules to help you avoid consuming partially hydrogenated oils. Don’t think for one minute that this is all you need to do for your heart and your health. Eliminating partially hydrogenated oils from your diet is just one piece of the puzzle. This is not the place to educate you about heart health and other medical issues. But if you don’t understand heart health, then learn about it – please – for your own and your family’s well-being. And if you are avoiding squarely facing up to the issue, and possibly kidding yourself, then go to a cardiologist for a checkup if you haven’t already done so. That applies to women too. Heart disease is the number one killer of women in the United States.

1. Don’t eat any product which has the words "partially hydrogenated" or "shortening" in the ingredients list.

The U.S. Food and Drug Administration advises:

Consumers can know if a food contains trans fat by looking at the ingredient list on the food label. If the ingredient list includes the words “shortening,” “partially hydrogenated vegetable oil” or “hydrogenated vegetable oil,” the food contains trans fat. Because ingredients are listed in descending order of predominance, smaller amounts are present when the ingredient is close to the end of the list.

Note: Fully hydrogenated oils do not contain trans fat. However, if the word "hydrogenated" is used without the word "partially," that product may contain partially hydrogenated oil. Not all labeling is accurate and the word "partially" may have been wrongfully omitted on some products.

2. If the label says zero trans fats, don’t believe it. If the words "partially hydrogenated" or "shortening" are in the ingredients list, it DOES contain trans fat.

Under FDA regulations in effect in the United States, "if the serving contains less than 0.5 gram [of trans fat], the content, when declared, shall be expressed as zero." Suppose a product contains 0.4 grams per serving and you eat four servings (which is not uncommon). You have just consumed 1.6 grams of trans fat, despite the fact that the package claims that the product contains zero grams of trans fat per serving. Changing this rule is a high priority for BanTransFats.com. We are working on it.

(In Canada, the situation is not as bad. If the serving contains less than 0.2 grams of trans fat, the content may expressed as zero. Click here for the Canadian rules.)

3. Be careful when consuming products with labels from outside the United States. Sometimes they contain partially hydrogenated oil but it’s not on the label.

4. In restaurants, bakeries, and other eateries, ask whether they use partially hydrogenated oil for frying or baking or in salad dressings. If they say they use vegetable oil, ask whether it is partially hydrogenated. Don’t be shy about asking. Assume that all unlabeled baked and fried goods contain partially hydrogenated oil, unless you know otherwise.

Ask about that fried food. Ask about the oil in the salad dressing. Ask about that donut. Ask about that pie crust. Ask about that bread. When you ask, you are sending a message to the seller of the food that you don’t want trans fats.

5. Keep saturated fat intake low too. This is very important.

6. Remember that polyunsaturated fat and monounsaturated fats are good fats.

One more thing. Cholesterol that affects our arteries comes from two sources: (i) animal products and (ii) bad fats. If a product is "cholesterol fee," that doesn’t mean that it won’t raise your bad cholesterol. If the product itself contains no cholesterol but it does contain trans fat or saturated fat, it will raise your bad cholesterol.

http://www.bantransfats.com/abouttransfat.html
http://www.hsph.harvard.edu/nutritionsource/fats.html
http://adam.about.com/reports/000023_1.htm
http://en.wikipedia.org/wiki/Trans_fat

How To Stay Young

1
Throw out nonessential numbers.
This includes age, weight and height.
Let the doctors worry about them.
That is why you pay them.

2
Keep only cheerful friends.
The grouches pull you down.
(Keep this In mind if you are one of those grouches)
 
3
Keep learning:
Learn more about the computer, crafts, gardening, whatever.
Never let the brain get idle.
"An idle mind is the devil’s workshop."
And the devil’s name is Alzheimer’s!

4
Enjoy the simple things.
 
5
Laugh often, long and loud.
Laugh until you gasp for breath.
And if you have a friend who makes you laugh,
Spend lots and Lots of time with HIM/HER.
 
6
The tears happen:
Endure, grieve, and move on.
The only person who is with us our entire life, is ourself.
LIVE while you are alive.

7
Surround yourself with what you love:
Whether it’s family, pets, keepsakes, music, plants, hobbies, whatever.
Your home is your refuge.
 
8
Cherish your health:
If it is good, preserve it.
If it is unstable, improve it.
If it is beyond what you can improve, get help.

9
Don’t take guilt trips.
Take a trip to the mall, even to the next county, to a foreign country,
But NOT to where the guilt is.
 
10
Tell the people you love,
That you love them,
At Every Opportunity.

And Always Remember:
Life is not measured by the number of breaths we take,
but by the moments that take our breath away.
 
And if you don’t send this to at least four people – who cares?
But do share this with someone.
And this is how I share to you.

Critical Earthquake Safety Information

Interesting perspective.

Please read this and pass it on — it could save your life!!

* * * * EXTRACT FROM DOUG COPP’S ARTICLE ON THE "TRIANGLE OF LIFE", Edited by Larry Linn for MAA Safety Committee brief on 4/13/04.

My name is Doug Copp. I am the Rescue Chief and Disaster Manager of the American Rescue Team International (ARTI), the world’s most experienced rescue team. The information in this article will save lives in an earthquake.

I have crawled inside 875 collapsed buildings, worked with rescue teams from 60 countries, founded rescue teams in several countries, and I am a member of many rescue teams from many countries. I was the United Nations expert in Disaster Mitigation (UNX051 – UNIENET) for two years. I have worked at every major disaster in the world since 1985, except for simultaneous disasters.

In 1996 we made a film which proved my survival methodology to be correct. The Turkish Federal Government, City of Istanbul, University of Istanbul, Case Productions and ARTI cooperated to film this practical, scientific test. We collapsed a school and a home with 20 mannequins inside. Ten mannequins did "duck and cover," and ten mannequins I used in my "triangle of life" survival method. After the simulated earthquake collapse we crawled through the rubble and entered the building to film and document the results. The film, in which I practiced my survival techniques under directly observable, scientific conditions, relevant to building collapse, showed there would have been zero percent survival for those doing duck and cover. There would likely have been 100 percent survivability for people using my method of the "triangle of life." This film has been seen by millions of viewers on television in Turkey and the rest of Europe, and it was seen in the USA, Canada and Latin America on the TV program Real TV.

The first building I ever crawled inside of was a school in Mexico City during the 1985 earthquake. Every child was under their desk. Every child was crushed to the thickness of their bones. They could have survived by lying down next to their desks in the aisles. It was obscene, unnecessary and I wondered why the children were not in the aisles. I didn’t at the time know that the children were told to hide under something.

Simply stated, when buildings collapse, the weight of the ceilings falling upon the objects or furniture inside crushes these objects, leaving a space or void next to them. This space is what I call the "triangle of life". The larger the object, the stronger, the less it will compact. The less the object compacts, the larger the void, the greater the probability that the person who is using this void for safety will not be injured. The next time you watch collapsed buildings, on television, count the "triangles" you see formed. They are everywhere. It is the most common shape, you will see, in a collapsed building. They are everywhere. I trained the Fire Department of Trujillo (population 750,000) in how to survive, take care of their families, and to rescue others in earthquakes.

The chief of rescue in the Trujillo Fire Department is a professor at Trujillo University. He accompanied me everywhere. He gave personal testimony: "My name is Roberto Rosales. I am Chief of Rescue in Trujillo. When I was 11 years old, I was trapped inside of a collapsed building. My entrapment occurred during the earthquake of 1972 that killed 70,000 people. I survived in the "triangle of life" that existed next to my brother’s motorcycle. My friends who got under the bed and under desks were crushed to death [he gives more details, names, addresses etc.]…I am the living example of the "triangle of life". My dead friends are the example of "duck and cover".

TIPS DOUG COPP PROVIDES:

1) Everyone who simply "ducks and covers" WHEN BUILDINGS COLLAPSE is crushed to death — Every time, without exception. People who get under objects, like desks or cars, are always crushed.

2) Cats, dogs and babies all naturally often curl up in the fetal position. You should too in an earthquake. It is a natural safety/survival instinct. You can survive in a smaller void. Get next to an object, next to a sofa, next to a large bulky object that will compress slightly but leave a void next to it.

3) Wooden buildings are the safest type of construction to be in during an earthquake. The reason is simple: the wood is flexible and moves with the force of the earthquake. If the wooden building does collapse, large survival voids are created. Also, the wooden building has less concentrated, crushing weight. Brick buildings will break into individual bricks. Bricks will cause many injuries but less squashed bodies than concrete slabs.

4) If you are in bed during the night and an earthquake occurs, simply roll off the bed. A safe void will exist around the bed. Hotels can achieve a much greater survival rate in earthquakes, simply by posting a sign on the back of the door of every room, telling occupants to lie down on the floor, next to the bottom of the bed during an earthquake.

5) If an earthquake happens while you are watching television and you cannot easily escape by getting out the door or window, then lie down and curl up in the fetal position next to a sofa, or large chair.

6) Everybody who gets under a doorway when buildings collapse is killed. How? If you stand under a doorway and the doorjamb falls forward or backward you will be crushed by the ceiling above. If the door jam falls sideways you will be cut in half by the doorway. In either case, you will be killed!

7) Never go to the stairs. The stairs have a different "moment of frequency" (they swing separately from the main part of the building).The stairs and remainder of the building continuously bump into each other until structural failure of the stairs takes place. The people who get on stairs before they fail are chopped up by the stair treads. They are horribly mutilated. Even if the building doesn’t collapse, stay away from the stairs. The stairs are a likely part of the building to be damaged. Even if the stairs are not collapsed by the earthquake, they may collapse later when overloaded by screaming, fleeing people. They should always be checked for safety, even when the rest of the building is not damaged.

8) Get Near the Outer Walls Of Buildings Or Outside Of Them If Possible – It is much better to be near the outside of the building rather than the interior. The farther inside you are from the outside perimeter of the building the greater the probability that your escape route will be blocked;

9) People inside of their vehicles are crushed when the road above falls in an earthquake and crushes their vehicles; which is exactly what happened with the slabs between the decks of the Nimitz Freeway. The victims of the San Francisco earthquake all stayed inside of their vehicles. They were all killed. They could have easily survived by getting out and sitting or lying next to their vehicles, says the author. Everyone killed would have survived if they had been able to get out of their cars and sit or lie next to them. All the crushed cars had voids 3 feet high next to them, except for the cars that had columns fall directly across them.

10) I discovered, while crawling inside of collapsed newspaper offices and other offices with a lot of paper, that paper does not compact. Large voids are found surrounding stacks of paper.

———————————————————————————————————-

Origins:   We can’t say that every single point mentioned in the above article about earthquake safety by controversial "rescue expert" Doug Copp is wrong or bad advice, but there are some pretty substantial reasons why readers might want to take the article (particularly its advice that everyone who uses the "duck and cover" technique in an earthquake ends up crushed to death) with some very large grains of salt:

    * Disaster preparedness experts with the American Red Cross dispute that findings based on earthquake experiences in other countries (e.g., Turkey) are applicable to the U.S., where building codes are substantially different.

    * The scientific validity of the conclusions expressed in the article has been questioned by others.

    * Doug Copp’s claim that he performed rescue work at the World Trade Center (for which he was paid $650,000 in compensation for injuries he supposedly sustained there) has been challenged in a series of articles published in the Albuquerque Journal which describe him as a self-serving opportunist rather than a true rescue expert:

           Self-proclaimed rescue guru Doug Copp’s mission to ground zero was considered so important that he had clearance to be flown to New York even though all civilian air traffic in the United States had been grounded. Once there, he says he assumed a pivotal role and sustained devastating injuries while wading through the "toxic soup" in search of survivors and victims, and was awarded nearly $650,000 for his injuries. But there is little evidence Copp performed real rescue work, and it is doubtful that he deserves compensation.

           Doug Copp was awarded $649,000, tax free, from the fund set up to compensate victims of 9/11. He says it’s not enough. But it’s doubtful he deserves anything. A Journal investigation found little evidence that Copp did real rescue work in New York. His forays into the rubble were to shoot video, some of which he tried to sell. His claim of seeking medical care within the time frame appears false. All typical of Copp’s years as a self-proclaimed rescue guru.

    * Other articles have relayed complaints from numerous people who have dealt with Mr. Copp.

    * Mr. Copp is under investigation by a U.S. Department of Justice fraud unit.

We’d recommend sticking with safety information prepared by established earthquake safety experts, such as the American Red Cross and the Federal Emergency Management Agency.

By Barbara and David P. Mikkelson

———————————————————————————————————-

HIV and AIDS

What Is It? AIDS is one of the most serious, deadly diseases in human history.

More than 20 years ago, doctors in the United States identified the first cases of AIDS in San Francisco and New York. Now there are an estimated 42 million people living with HIV or AIDS worldwide, and more than 3 million die every year from AIDS-related illnesses.

AIDS is caused by the human immunodeficiency virus (HIV). HIV destroys a type of defense cell in the body called a CD4 helper lymphocyte (pronounced: lim-fuh-site). These lymphocytes are part of the body’s immune system, the defense system that fights infectious diseases. But as HIV destroys these lymphocytes, people with the virus begin to get serious infections that they normally wouldn’t – that is, they become immune deficient. The name for this condition is acquired immunodeficiency syndrome (AIDS).

Half of all new HIV infections in the United States occur in people under 25 years of age, and thousands of U.S. teens become infected with HIV each year.

As the medical community learns more about how the HIV virus works, they’ve been able to develop drugs to inhibit it (meaning they interfere with its growth). These drugs have been successful in slowing the progress of the disease, and people with the disease now live much longer. But there is still no cure for HIV and AIDS.

HIV can be transmitted from an infected person to another person through blood, semen (also known as "cum," the fluid released from the penis when a male ejaculates), vaginal fluids, and breast milk.

The virus is spread through high-risk behaviors including:

    * unprotected oral, vaginal, or anal sexual intercourse ("unprotected" means not using a condom)
    * sharing needles, such as needles used to inject drugs (including needles used for injecting steroids) and those used for tattooing

People who have another sexually transmitted disease, such as syphilis, genital herpes, chlamydia, gonorrhea, or bacterial vaginosis are at greater risk for getting HIV during sex with infected partners.

If a woman with HIV is pregnant, her newborn baby can catch the virus from her before birth, during the birthing process, or from breastfeeding. If doctors know an expectant mother has HIV, they can usually prevent the spread of the virus from mother to baby. All pregnant teens and women should be tested for HIV so they can begin treatment if necessary.

How Does HIV Affect the Body?
A healthy body is equipped with CD4 helper lymphocyte cells (CD4 cells). These cells help the immune system function normally and fight off certain kinds of infections. They do this by acting as messengers to other types of immune system cells, telling them to become active and fight against an invading germ.

The HIV virus attaches to these CD4 cells, infects them, and uses them as a place to multiply. In doing so, the virus destroys the ability of the infected cells to do their job in the immune system. The body then loses the ability to fight many infections.

Because their immune systems are weakened, people who have AIDS are unable to fight off many infections, particularly tuberculosis and other kinds of otherwise rare infections of the lung (such as Pneumocystis carinii pneumonia), the surface covering of the brain (meningitis), or the brain itself (encephalitis). People who have AIDS tend to keep getting sicker, especially if they are not taking antiviral medications properly.

AIDS can affect every body system. The immune defect caused by having too few CD4 cells also permits some cancers that are stimulated by viral illness to occur – some people with AIDS get forms of lymphoma and a rare tumor of blood vessels in the skin called Kaposi’s sarcoma. Because AIDS is fatal, it’s important that doctors detect HIV infection as early as possible so a person can take medication to delay the onset of AIDS.

How Do People Know They Have HIV?
Once a person’s blood lacks the number of CD4 cells required to fight infections, or the person has signs of specific illnesses or diseases that occur in people with HIV infection, doctors make a diagnosis of AIDS.

Severe symptoms of HIV infection and AIDS may not appear for 10 years. And for years leading up to that, a person may not have symptoms of AIDS. The amount of time it takes for symptoms of AIDS to appear varies from person to person. Some people may feel and look healthy for years while they are infected with HIV. It is still possible to infect others with HIV, even if the person with the virus has absolutely no symptoms. You cannot tell simply by looking at someone whether he or she is infected.

When a person’s immune system is overwhelmed by AIDS, the symptoms can include:

    * extreme weakness or fatigue
    * rapid weight loss
    * frequent fevers that last for several weeks with no explanation
    * heavy sweating at night
    * swollen lymph glands
    * minor infections that cause skin rashes and mouth, genital, and anal sores
    * white spots in the mouth or throat
    * chronic diarrhea
    * a cough that won’t go away
    * trouble remembering things

Girls may also experience severe vaginal yeast infections that don’t respond to usual treatment, as well as pelvic inflammatory disease.

How Can It Be Prevented?
One of the reasons that HIV is so dangerous is that a person can have the virus for a long time without knowing it. That person can then spread the virus to others through high-risk behaviors. HIV transmission can be prevented by:

    * abstaining from sex (not having oral, vaginal, or anal sex)
    * always using latex condoms for all types of sexual intercourse
    * avoiding contact with the bodily fluids through which HIV is transmitted
    * never sharing needles

How Is It Diagnosed and Treated?
If you think that you may have HIV or AIDS or if you have had a partner who may have HIV or AIDS, see your family doctor, adolescent doctor, or gynecologist. He or she will talk with you and perform tests. The doctor may do a blood test or a swab of the inside of your cheek. Depending on what type of test is done, results may take from a few hours to several days.

People can also get tested for HIV/AIDS at special AIDS clinics around the country. Clinics offer both anonymous (meaning the clinic doesn’t know a person’s name) and confidential (meaning they know who a person is but keep it private) testing. Most AIDS testing centers will ask you to follow up for counseling to get your results, whether the test is negative or positive.

If you’re not sure how to find a doctor or get an AIDS test, you can contact the National AIDS Hotlines at (800) 342-AIDS (English) or (800) 344-7432 (Spanish). A specialist there will explain what you should do next.

There is no cure for AIDS, which makes prevention so important. Combinations of antiviral drugs and drugs that boost the immune system have allowed many people with HIV to resist infections, stay healthy, and prolong their lives, but these medications are not a cure. Right now there is no vaccine to prevent HIV and AIDS, although researchers are working on developing one.

Updated and reviewed by: Steven Dowshen, MD
Date reviewed: February 2005
Originally reviewed by: Joseph Masci, MD