Archive

Posts Tagged ‘พวงทอง ภวัครพันธุ์’

อภิสิทธิ์กับการแก้ปัญหาเขตแดนด้วยสันติวิธี?, พวงทอง ภวัครพันธุ์

11 February 2011 Leave a comment

อภิสิทธิ์กับการแก้ปัญหาเขตแดนด้วยสันติวิธี?

โดย พวงทอง ภวัครพันธุ์

(ผู้เขียนเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันเป็น Visiting Research Fellow, Stanford University)

สถานการณ์ ชายแดนไทย-กัมพูชาตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาล่าสุดขยับจากเรื่องเอ็มโอยู 2543 มาที่การแย่งชิงสิทธิเหนือวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ

ล่าสุดกัมพูชานำ ธงชาติของตนไปปักไว้บริเวณวัดแก้วฯ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการ เด็ดขาดเอาธงชาติกัมพูชาลงมาให้ได้ นายกฯอภิสิทธิ์จึงจำเป็นต้องแสดงท่าทีแข็งกร้าวในเรื่องนี้

ส่วนกัมพูชาก็เริ่มเสริมกำลังทัพบริเวณชายแดน โอกาสที่จะเกิดการปะทะกันมีสูงมาก

หนทาง เดียวที่จะปลดชนวนสงครามและแก้ปัญหานี้ได้อย่างถาวรคือ ทั้งไทยและกัมพูชาต้องตกลงกันให้ได้ว่า จะร่วมกันจัดการพื้นที่ทับซ้อนนี้อย่างไร

ในบรรดาประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับปราสาทพระ วิหารนี้ พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. นี้เป็นส่วนที่แก้ไขยากที่สุด และถ้าไม่ทำอะไรเลย ก็จะเป็นจุดที่สร้างปัญหา ก่อความตึงเครียดให้กับความสัมพันธ์ไทยกัมพูชาได้เรื่อยๆ เปิดโอกาสให้กลุ่มชาตินิยมนำมาเคลื่อนไหวเล่นงานรัฐบาลและประเทศเพื่อนบ้านได้ตลอดเวลา

ช่วงที่ผ่านมา ปัญหาที่เกิดขึ้นบนพื้นที่ทับซ้อนได้แก่ การตั้งรกรากของชาวกัมพูชาในบริเวณนี้ การสร้างถนนจากกัมพูชาเข้าไปยังฝั่งตะวันตกของปราสาทพระวิหาร และล่าสุดคือ กรณีวัดแก้วฯ

พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.เป็นผลจากการที่กัมพูชาและไทยต่างอ้างอิงเอกสารที่แตกต่างกัน ฝ่ายไทยยึดถือเส้นสันปันน้ำเป็นเขตแดนตามหนังสือสัญญาระหว่างสยามและ ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ ค.ศ.1907 ส่วนกัมพูชายึดถือแผนที่ตามการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดน ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส หรือที่คนไทยมักเรียกว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000

กัมพูชา ถือว่าในคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี ค.ศ.1962 ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าเส้นเขตแดนในบริเวณปราสาทพระวิหารคือเส้นที่ปรากฏใน แผนที่ ดังคำวินิจฉัยที่ว่า “ประเทศไทยใน ค.ศ.1908-1909 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้ จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา…คู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยการประพฤติปฏิบัติของตนเองได้รับรองเส้นแผนที่นี้ และดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการตกลงให้ถือว่าเส้นนี้เป็นเส้นเขตแดน”

กัมพูชาจึงยืนยันว่าวัดแก้วฯอยู่ภายในอาณาบริเวณของกัมพูชา เพราะวัดแก้วฯตั้งอยู่ทางด้านใต้ของเส้นเขตแดนตามแผนที่ราว 700 เมตร

แต่ ฝ่ายไทยถือว่าศาลโลกไม่ได้ตัดสินให้ตามคำขอของกัมพูชาในข้อที่ว่า แผนที่มีสถานะเท่ากับสนธิสัญญา และเส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่เป็นเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา ฉะนั้น ไทยไม่จำเป็นต้องยอมรับเส้นเขตแดนตามแผนที่ฉบับดังกล่าว วัดแก้วฯจึงต้องอยู่ในเขตของไทย

เมื่อทั้งสองฝ่ายยึดถือเอกสารที่แตกต่างกันเช่นนี้ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การปักปันเขตแดนบริเวณเทือกเขาดงรัก ไม่มีความคืบหน้า แต่ส่วนอื่นๆ คืบหน้าไปมากแล้ว เพราะเอกสารทั้งสองนี้ ถูกบรรจุให้เป็นเอกสารสำหรับการปักปันและสำรวจเขตแดนทางบก ตามเอ็มโอยู 2543 ด้วย

ฉะนั้น จึงเท่ากับว่า เอ็มโอยู 2543 ประกอบด้วยเอกสารที่ช่วยถ่วงดุลอำนาจในการต่อรองให้กับทั้งสองฝ่าย และนี่เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าในพื้นที่ส่วนเขาดงรักนี้ หน่วยงานของไทยที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาเรื่องเขตแดน ไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้กับแผนที่ 1:200,000 และพยายามรักษาสิทธิของไทยเหนือพื้นที่ 4.6 ตร.กม.อย่างเหนียวแน่น พื้นที่ทับซ้อนนี้จึงยังคาราคาซังต่อไป

สำหรับรัฐที่ชาญฉลาดก็จะพยายามหาทางตกลง เพื่อสร้างประโยชน์จากผืนดินที่เป็นข้อพิพาทนั้นๆ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็จะเก็บข้อพิพาทที่แก้ไขไม่ได้ ใส่ไว้ในลิ้นชักชั่วคราว แล้วหันไปจัดการกับส่วนอื่นก่อนคุยกันในเรื่องที่คุยกันได้ และก่อประโยชน์ให้กับทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตายืนยันว่าต้องตัดสินเรื่องดินแดนเล็กๆ ตรงนี้ให้ได้ก่อน ไม่งั้นห้ามทำเรื่องอื่น รบเป็นรบ ตายเป็นตาย (เพราะคนที่ตายกับที่คนที่เรียกร้อง เป็นคนละคนกัน) โดยไม่สนใจว่าจะทำให้ชีวิตด้านอื่นๆ ของประเทศนี้เสียหายอย่างไรบ้าง

แต่กระแสชาตินิยมอันรุนแรงในขณะนี้ ไม่อนุญาตให้รัฐไทยและกัมพูชาเก็บเรื่องนี้ ไว้ในลิ้นชักอีกต่อไป แต่ต้องจัดการให้เด็ดขาดเรียบร้อย ผู้เขียนเชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทย ย่อมอยากให้เรื่องนี้เป็นที่ยุติ โดยไม่ต้องพาประเทศเข้าสู่สงคราม ฉะนั้น เมื่อตัดสงครามออกไปแล้ว หนทางเดียวที่เหลืออยู่คือ ทั้งไทยและกัมพูชาต้องหันมาเจรจา เรื่องการพัฒนาร่วมพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารกันอย่างจริงจังเสียที

อันที่จริง แนวคิดที่จะให้มีการบริหารจัดการร่วมพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร นี้เป็นสิ่งหน่วยราชการของไทยเองเป็นฝ่ายริเริ่มผลักดัน และสามารถเจรจาจนฝ่ายกัมพูชายอมรับในเวลาต่อมา การผลักดันนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ รบ.ทักษิณ-สุรยุทธ์-สมัคร (ดูบวรศักดิ์, แฉเอกสารลับที่สุด ปราสาทพระวิหาร, น.254-261)

แนวคิด บริหารจัดการร่วมนี้ น่าจะมาจากความคิดที่ว่า เมื่อกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แล้วจะต้องมีผลกระทบกับ พื้นที่ทับซ้อนที่ไทยอ้างสิทธิอยู่ด้วย

ฉะนั้น วิธีปกป้องสิทธิของประเทศไทยพร้อมๆ ไปกับรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย ก็คือเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการพื้นที่ร่วมกัน หากกัมพูชาทำอะไรที่ไทยเห็นว่าละเมิดสิทธิของไทย ก็จะสามารถทักท้วงได้ทันเวลา และแน่นอนว่าเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างกันยังดีอยู่ อีกฝ่ายย่อมยินยอมฟังคำทักท้วงมากกว่า

แต่กระแสคลั่งชาติที่เกิดขึ้น ทำให้แนวคิดนี้ต้องถูกพับเก็บใส่สิ้นชัก ไม่มีหน่วยงานไหนกล้าพูดถึงอีก

ผลก็คือ ประเทศไทยในขณะนี้แทบไม่รู้เลยว่า กัมพูชาเดินหน้าพัฒนาพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารไปอย่างไรบ้าง ไทยไม่ได้เห็นแผนบริหารจัดการที่กัมพูชายื่นต่อคณะกรรมการมรดกโลก เขายื่นไปแล้วเจ้าหน้าที่ไทยก็อ้างว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยได้รับ เขาพิจารณารับรองกันไปเรียบร้อยแล้ว แต่ฝ่ายไทยยังหลงเชื่อว่าเขาเลื่อนการพิจารณาไปปีหน้า ก็เพราะเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลไม่ดี ก็ยากที่ไทยจะขอให้กัมพูชาส่งเอกสารให้ไทยดูเพื่อตรวจสอบก่อน แล้วพอเขาประชุมกรรมการมรดกโลกที เราก็ส่งทีมไปวิ่งล็อบบี้ให้เขาถอนอีก โดยไม่ตระหนักว่า คณะกรรมการมรดกโลกถือว่าแผนบริหารจัดการ เป็นเอกสิทธิ์ของรัฐที่เป็นเจ้าของมรดกโลกชิ้นนั้นๆ ไม่เกี่ยวกับประเทศไทยในฐานะบุคคลที่สาม

สิ่งนี้ต่างกับยุคสมัยที่ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชายังดีอยู่ กล่าวคือ เมื่อครั้งที่กัมพูชายื่นขอจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ.2550 ที่ไครซ์เชิร์ต นิวซีแลนด์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยพบว่าแผนที่ที่แนบไปกับการขอขึ้นทะเบียน มีส่วนที่ล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อน จึงทำเรื่องคัดค้าน จนคณะกรรมการมรดกโลกมีมติให้เลื่อนการพิจารณาไปเป็นปี 2551 ซึ่งในช่วงหนึ่งปีก่อนจะถึงการประชุมในปี 2551 ฝ่ายกัมพูชายินยอมร่วมมือกับไทยเป็นอย่างดี ด้วยการตัดพื้นที่ทับซ้อนออกจากแผนที่แนบการขึ้นทะเบียน และยังส่งแผนที่ฉบับแก้ไขให้ไทยตรวจสอบก่อน

จนกระทั่งหน่วยงานของไทย (กต., กรมแผนที่ทหาร, สมช.) ตรวจสอบจนพอใจและเห็นว่าไม่มีส่วนใดล่วงล้ำเข้ามา ในพื้นที่ทับซ้อนที่ไทยอ้างสิทธิอยู่ (ดูบวรศักดิ์ น.264) แล้วจึงนำไปสู่การออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชารับรองการขึ้นทะเบียนปราสาท พระวิหารเป็นมรดกโลกที่ลงนามโดยนายนพดล ปัทมะ นั่นเอง

แต่ในขณะนั้น กระแสชาตินิยมและกระแสต่อต้านทักษิณนั้นมาแรงจนบดบังข้อเท็จจริง จนหมดสิ้น เราตั้งหน้าตั้งตาค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชา อย่างไม่ลืมหูลืมตา หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้นก็กระโดดเข้าสู่กระแสนี้ด้วย และเมื่อมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ก็ยังเรียกร้องให้คณะกรรมการมรดกโลกถอนปราสาทพระวิหารออกจากมรดกโลก และคัดค้านแผนบริหารจัดการ (ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นเนื้อหาของตัวแผน) แถมยังไปตกปากรับคำกับกลุ่มพันธมิตรว่า รัฐบาลของตนจะไม่ยอมให้มีการพัฒนาร่วมพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร

จุดยืนเหล่านี้ของนายอภิสิทธิ์ คืออุปสรรคสำคัญของการแก้ไขปัญหาเขตแดนด้วยสันติวิธีที่นายอภิสิทธิ์มักอ้างถึงอยู่เสมอ

สิ่งที่เราต้องตระหนักก็คือ โอกาสที่คณะกรรมการมรดกโลกจะถอดถอนปราสาทพระวิหารออกจากมรดกโลกนั้น เท่ากับศูนย์ แม้แต่มรดกโลกหลายแห่งที่ติดรายชื่อ “อยู่ในภาวะอันตราย” มาหลายปี เพราะสภาพทรุดโทรมเต็มที ก็ยังไม่ถูกถอด เพราะเขาตระหนักว่ามรดกโลก คือ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจของผู้คนในประเทศนั้น การถอดถอนย่อมส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง

ลองจินตนาการดูว่า ถ้าอยุธยาถูกถอดจากมรดกโลก คนไทยจะรู้สึกโกรธแค้นเพียงใด และควรลองจินตนาการต่อด้วยว่า คนกัมพูชารู้สึกอย่างไร เมื่อคนไทยพยายาททำให้มรดกโลกของเขาถูกถอดถอน

ฉะนั้น หากนายอภิสิทธิ์มีจุดยืนที่จะแก้ไขปัญหานี้ด้วยสันติวิธีจริงๆ (ไม่ใช่อย่างที่ปฏิบัติกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง) ก็จำเป็นต้องทบทวนจุดยืนที่จะให้มีการถอดถอนปราสาทพระวิหารออกจากมรดกโลก เพราะจุดยืนนี้คืออุปสรรคเบื้องต้นของการแก้ปัญหาความสัมพันธ์กับกัมพูชา

และถ้าความสัมพันธ์ไม่ดี ก็ไม่มีทาง ที่จะก้าวไปสู่การเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนด้วยสันติวิธีได้เลย

มติชน, 10 กุมภาพันธ์ 2554