Archive

Archive for December, 2009

เจาะใจนักเขียนสาวร้อนแรงแห่งเชียงใหม่ “คำ ผกา” ว่าด้วยเรื่องนู้ดจนถึงการเมือง

29 December 2009 Leave a comment

เจาะใจนักเขียนสาวร้อนแรงแห่งเชียงใหม่ "คำ ผกา" ว่าด้วยเรื่องนู้ดจนถึงการเมือง

เจาะ ใจ "คำ ผกา" ว่าด้วยเรื่องประวัติศาสตร์, ชีวิตวัยเด็ก, หนังสือ, การเป็นนักเรียนญี่ปุ่น, ความเป็นไทย, อาหาร, นางแบบนู้ด จนถึงเรื่องการเมือง
 
หลายคนคงรู้จักกับนักเขียนสาวร้อนแรงแห่งยุคอย่าง "คำ ผกา" หรือ "ฮิมิโตะ ณ เกียวโต" หรือในชื่อจริง "ลักขณา ปันวิชัย" ในฐานะนักเขียนที่ผลิตผลงานได้หลากหลายแนว นับ ตั้งแต่เรื่องวิพากษ์วิจารณ์สังคม-วัฒนธรรม-เพศสภาพ เรื่องความรัก เรื่อยไปจนถึงเรื่องอาหาร ต้นไม้ และการท่องเที่ยว รวมทั้งผลงานคอลัมน์วิพากษ์การเมืองที่สุดแสนจะดุเดือดใน "มติชนสุดสัปดาห์"

คำ ผกา บอกว่าเธอต้องเขียนงานหลากหลายแนวเพราะต้องการเก็บ (หรือเป็นคอลัมนิสต์ประจำ) หนังสือทุกแนวในตลาด เนื่องจากตนเองเป็นคนที่ยังชีพทางเศรษฐกิจด้วยการเขียนคอลัมน์ตามหน้า นิตยสาร ดังนั้น ถ้านิตยสารผู้หญิงไม่ให้เธอเขียนเรื่องการเมือง ทั้ง ๆ ที่โดยส่วนตัวมีความสนใจพื้นฐานในประเด็นเรื่องการเมืองและวัฒนธรรม เธอก็จำเป็นต้องประนีประนอมกับจุดยืนของนิตยสารเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม นักเขียนสาวร้อนแรงยืนยันว่างานเขียนทุกแนวที่มีความหลากหลายนั้นล้วนมาจากฐานคิดชุดเดียวกันของเธอ

เมื่อวันที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา ในงาน "เชียงใหม่ เอ็มไอซีที สร้างคน สร้างชาติ" ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มีการเสวนาเจาะใจ "คำ ผกา" โดยสองพิธีกร "อรินธรณ์" (อธิกร ศรียาสวิน) และ "หนุ่มเมืองจันท์" (สรกล อดุลยานนท์) โดยการพูดคุยดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจอันหลากหลายบนฐานคิดที่แข็ง แรงของนักเขียนสาวรายนี้ได้เป็นอย่างดี

"ประวัติศาสตร์"

ลักขณาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาประวัติศาสตร์ จากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยหนึ่งในอาจารย์คนสำคัญของเธอก็คือ "นิธิ เอียวศรีวงศ์" จากนั้นเธอมีโอกาสได้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอก สาขาประวัติศาสตร์ไทย ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น

สำหรับคำ ผกา การเรียนประวัติศาสตร์ไม่ใช่การต้องมานั่งอ่าน เรื่องราวเก่าแก่ในพงศาวดาร แต่เป็นการเรียนรู้ที่ทำให้เธอต้องตั้งคำถามกับสิ่งที่ตนเองเคยคิดว่ามัน เป็นเรื่อง "จริง" มาโดยตลอด

การเป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เธอรู้ว่า "ประวัติศาสตร์" เป็น "เรื่องแต่ง" (fiction) ชนิดหนึ่ง การศึกษากระบวนการเขียนประวัติศาสตร์แต่ละสกุลในโลกใบนี้ หรือ การอยู่กับกระบวนการสร้างประวัติศาสตร์ จึงทำให้ลักขณาได้เรียนรู้ว่า "ประวัติศาสตร์" คือ การคัดกรองอดีตบางอย่างมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ทว่าเรื่องราวดังกล่าวก็มิได้มีสถานะเป็นทั้งหมดของอดีตแต่อย่างใด

การเรียนประวัติศาสตร์จึงถือเป็นราก ฐานทางความคิดสำคัญและเป็นการเปิด "โลกใหม่" ให้แก่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้เติบโตมาเป็น "คำ ผกา" ในวันนี้

ชีวิตวัยเด็ก

ลักขณาใช้ชีวิตวัยรุ่นที่บ้านสันคะยอม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

เนื่องจากแม่แท้ ๆ ให้กำเนิดเธอตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แม่จึงฝากเธอให้ตา-ยายเลี้ยงดูแทน กระทั่งคำ ผกา เรียกตา-ยายว่า "พ่อ-แม่" เธอมีน้า 2 คนเป็นกะเทย มีลุงเป็นคนติดเหล้า ส่วนตาก็ดื่มเหล้าทุกวันและเวลาเมาก็จะใช้กำลังตบตีกับยายนิดหน่อยอยู่เสมอ อีกทั้งคนในบ้านยังพูดจาด้วยภาษามึง-กูกันตลอดเวลา

เธออยู่ในบ้านที่มีกิจการขาย-เชือดหมู เธอจึงอยู่กับกระบวนการฆ่าหมูทุกวัน (จนสามารถรู้ได้ว่าเลือดส่วนไหนของหมูที่นำมาทำลาบได้อร่อยมาก) นอกจากนี้ ที่บ้านยังทำอิฐบล็อก เธอจึงได้เล่น คุย และย่างกระต่ายกับคนงานทำอิฐ ส่วนการที่ยายเปิดร้านขายเหล้า ก็ทำให้เธอได้รับฟังเรื่องราวหลากหลายจากผู้คนที่มากินเหล้าในร้าน

ตามความเห็นของคำ ผกา ชีวิตในวัยเด็กที่แลดูไม่ปกติเช่นนี้ได้ส่งผลให้เธอมี "ความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม" เป็นอย่างมาก

ชีวิตในโรงเรียนคริสต์และโลกการอ่าน

ลักขณาเข้าเรียนที่โรงเรียน "ดาราวิทยาลัย" โรงเรียน หญิงล้วนที่เป็นทั้งโรงเรียนคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ เป็นเพียวริแตน (ที่ยึดหลักความเคร่งครัดในหลักศีลธรรมจรรยาทางศาสนา) และคอนเซอร์เวทีฟ (อนุรักษ์นิยม)

แม้อาจมีลูกคนจนและคนรวยอยู่รวมกันในโรงเรียนแห่งนี้ ตั้งแต่ภารโรง ชาวบ้าน จนถึงไฮโซ แต่คำ ผกา ก็เห็นว่าแนวความคิดแบบคริสเตียนของโรงเรียนกลับมีประโยชน์อย่างหนึ่ง คือ ส่งผลให้ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นระหว่างนักเรียน ด้วยหลักคิดที่ว่าทุกคนล้วนเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกันหมด

เพราะตา-ยายผู้เลี้ยงดูมีฐานะยากจน คำ ผกา จึงไม่ได้เข้าถึงแหล่งบันเทิงอื่น ๆ นอกจากการอ่านหนังสือในห้องสมุด ณ แหล่งบันเทิงดังกล่าว เธอได้ทำความรู้จักกับนิตยสารหัวก้าวหน้าอย่าง "โลกหนังสือ" "ถนนหนังสือ" และ "ศิลปวัฒนธรรม" เธอได้อ่านนิยายของ "ชาติ กอบจิตติ" ที่ทำให้ลักขณาเริ่มตั้งคำถามถึงความไม่เป็นธรรมในสังคม เช่น เริ่มสงสัยว่าตกลงแล้วครอบครัวของตนเองเป็นคนจนหรือคนรวยกันแน่

จากนั้นเธอหันไปให้ความสนใจในผลงานของกลุ่มนักเขียนเพื่อชีวิตยุค 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 เช่น งานของ "สิงห์สนามหลวง" (สุชาติ สวัสดิ์ศรี) และโลกการอ่านของเธอก็เปิดกว้างมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมาเป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์ดังได้กล่าวไปแล้ว

แต่ไม่ใช่แค่การอ่านหนังสือแนว วรรณกรรมเพื่อชีวิตหรือหนังสือวิชาการเท่านั้น เพราะในอีกด้านหนึ่ง ลักขณาก็เป็นนักอ่านนิยายประโลมโลกย์/นิยายน้ำเน่าตัวยง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่องานเขียนของเธอในเวลาต่อมา

ชีวิตนักเรียนญี่ปุ่น

การไปเรียนต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอกที่ญี่ปุ่น ทำให้คำ ผกา ได้ไปยืนจากจุดยืนของคนอื่น แล้วลองหันกลับมามอง "ความเป็นไทย" ของตนเอง

เธอได้อ่านข้อมูลจากงานศึกษาทางด้าน "ไทยศึกษา" จำนวนมาก ที่ตนเองไม่เคยรับรู้มาก่อนขณะอยู่ในเมืองไทย เช่น ตระกูล เจ้าสัวทั้งหลายในสังคมไทยไม่ได้ร่ำรวยขึ้นมาจากความประหยัดมัธยัสถ์หรือ ความวิริยะอุตสาหะในลักษณะ "กัดก้อนเกลือกิน" หรือ "เสื่อผืนหมอนใบ" เพียงเท่านั้น แต่พวกเขาร่ำรวยขึ้นมาจากการ "ฮั้ว" และการแต่งงานสานสายสัมพันธ์กับกลุ่มชนชั้นนำต่าง ๆ รวมทั้งช่วงเวลาของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีส่วนเอื้อให้คนกลุ่มนี้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา

นอกจากนั้น สาวเชียงใหม่คนนี้ก็เริ่มมีความรู้สึกรักชาติน้อยลง แต่กลับตั้งคำถามต่อเรื่อง "ชาติ" อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เธอเริ่มสังเกตว่า แม้ญี่ปุ่นจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความเป็นชาตินิยมสูง แต่ทำไมคนของเขาจึงไม่ต้องเคารพธงชาติกันทุกวันแบบในเมืองไทย นำไปสู่การตั้งคำถามว่า "ชาติ" ของญี่ปุ่นกับไทยนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร?

ลักขณาจึงหันมาให้ความสนใจต่อประเด็นเรื่องการสร้างอัตลักษณ์ "ความเป็นไทย" และศึกษาเปรียบเทียบการสร้างอัตลักษณ์ของไทยกับหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และตุรกี ตามประสบการณ์การมองโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เธอกลับเขียนวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกไม่เสร็จ โดยมีเรื่องอกหักบ้าผู้ชายเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง

เข้าสู่โลกนักเขียน

เมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถเขียนวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกได้เสร็จแน่ ๆ ลักขณาจึงเริ่มหาช่องทางยังชีพให้แก่ตนเอง ซึ่งช่องทางดังกล่าวก็ได้แก่การมีอาชีพเป็นนักเขียน

เริ่มด้วยการเขียนคอลัมน์ "จดหมายจากเกียวโต" ในนามปากกา "ฮิมิโตะ ณ เกียวโต" ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ยุคที่มี "รุ่งเรือง ปรีชากุล" เป็นบรรณาธิการ ซึ่งเป็นงานที่เขียนถึงวิถีชีวิตประจำวันอันเป็นเรื่องเล็ก ๆ ธรรมดาของผู้คนญี่ปุ่นที่เธอได้พบ โดยส่วนหนึ่งก็ถือเป็นการวิพากษ์งานเขียนเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นในสังคมไทย ที่ขับเน้นแต่เพียงประเด็นเรื่อง "ความคิขุอาโนเนะ" "หนังโป๊" "ความเพี้ยนวิปริต" หรือ "ความมีระเบียบวินัย" ของคนญี่ปุ่น

งานเขียนชุดนั้นได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี

งานเขียนชุดต่อมาคือ "กระทู้ดอกทอง" ภายใต้นามปากกา "คำ ผกา" ซึ่งนำโครงร่างและข้อมูลจากวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกที่ทำไม่เสร็จของเธอมา สานต่อเป็นงานเขียนที่ใช้ภาษาอ่านเข้าใจง่ายและสามารถเข้าถึงผู้คนในวงกว้าง

วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของลักขณาให้ความสนใจกับ 3 ประเด็นหลัก คือ "ความเป็นหญิงไทย" "การสร้างความเป็นไทย" และ "วรรณคดี (วรรณกรรม) ไทย" โดยคำถามสำคัญก็คือ "ชาติ" จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีการร่วมเพศ และการร่วมเพศระหว่างหญิงกับหญิงหรือชายกับชายก็ไม่ทำให้เกิด "ชาติ" ดังนั้น "ชาติ" จึงต้องการให้ชายและหญิงร่วมเพศกันเพื่อนำไปสู่การสร้างชาติ ในการนี้ จึงต้องมีการสร้างลักษณะของ "ชาย" และ "หญิง" ในรูปแบบที่ชาติต้องการขึ้นมา ขณะเดียวกัน นวนิยายไทยยุคใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษ 2470 ที่เป็นยุคแห่งการสร้างชาติพอดี

ประเด็นสำคัญใน "กระทู้ดอกทอง" จึงได้แก่ นวนิยายไทยยุคใหม่ได้สร้างภาพ "หญิง" ที่ดีและเลวออกมาอย่างไร เพื่อรองรับกับอุดมการณ์เรื่อง "ความเป็นหญิงไทย" และ "ความเป็นไทย" ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น

ด้วยประเด็นวิพากษ์และการใช้ภาษาที่ดุเดือดรุนแรงในงานชุดกระทู้ดอก ทองจึงส่งผลให้เริ่มมีกระแส "เกลียด" งานเขียนของ "คำ ผกา" แต่ยังชื่นชอบงานเขียนของ "ฮิมิโตะ ณ เกียวโต" อยู่ ซึ่งลักขณาบอกว่า นอกจากจะใช้นามปากกาคนละชื่อกันแล้ว เธอก็ยังใช้ชุดภาษาที่แตกต่างกันในการเขียนงานด้วยสองนามปากกาดังกล่าวอีก ด้วย

อย่างไรก็ตาม ลักขณาชอบทุกตัวตนของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น "ฮิมิโตะ ณ เกียวโต" หรือ "คำ ผกา" เพราะทุกนามปากกาที่แตกต่างกันนั้นก็คือตัวตนของเธอทั้งหมด และเธอยังไม่ยอมให้คำนิยามว่าตัวตนที่แน่ชัดของ "คำ ผกา" คืออะไร เพราะเธอไม่ต้องการจะอยู่ในกรอบที่เป็นการขีดเส้นจำกัดตัวเอง

ชีวิตแม่ครัว

ด้วยความที่คลุกคลีกับเรื่องอาหารมาตั้งแต่เด็ก เธอจึงสนใจในเรื่องเหล่านี้ จนถึงขั้นเคยไปประกอบอาชีพเป็น "แม่ครัว" ในประเทศญี่ปุ่น เพราะอยากรวยมาแล้ว

เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอเคยทำอาหารไทยเลี้ยง "ปราโมทยา อนันตา ตูร์" นักประพันธ์ผู้ลือนามชาวอินโดนีเซีย จากนั้นสำนักพิมพ์แม่โขงจึงติดต่อให้เธอไปเขียนหนังสือคู่มือประกอบอาหารไทย เป็นภาษาญี่ปุ่นเพื่อวางจำหน่าย ซึ่งยอดขายก็เป็นไปด้วยดี

จนลูกศิษย์ชาวญี่ปุ่นเพศชายวัยร่วมสี่สิบที่มาเรียนภาษาไทยกับเธอ ชักชวนให้คำ ผกาไปเป็น "เชฟ" ประจำร้านอาหารไทยชื่อ "ช้างน้อย" ที่เขาจะลงทุนก่อตั้งขึ้น

คำ ผกา ใฝ่ฝันว่าตนเองจะได้ตกแต่งร้านอาหารเก๋ ๆ และเป็นเชฟใหญ่ที่คอยเดินทักทายลูกค้าซึ่งมาทานอาหารภายในร้าน

แต่สุดท้ายเธอก็พบว่าอาชีพแม่ครัวนั้นเป็นงานที่เหนื่อยและ ทำให้ตัวเหม็นเป็นอย่างมาก อีกทั้งลูกศิษย์ที่กลายมาเป็นนายทุนร้านอาหารของเธอก็เป็นลูกคุณหนู ผู้ไม่เคยทำมาหากินมาตลอดชีวิต และต้องการเพียงวัตถุดิบชั้นดีมาประกอบอาหาร จึงส่งผลให้ร้านอาหารช้างน้อยไม่ประสบความสำเร็จถึงขั้นร่ำรวย แม้จะเคยมีชาวญี่ปุ่นมาเข้าคิวรอทานอาหารหน้าร้าน จนสามารถเก็บรายได้ถึง 3 แสนเยนต่อหนึ่งคืนก็ตาม

นางแบบนู้ด

นอกจากเคยเป็นแม่ครัวแล้ว คำ ผกา ยังเคยถ่ายนู้ดลงนิตยสารผู้ชายชื่อดังอย่าง "จีเอ็ม" ด้วย ความรำคาญที่ว่ารัฐไทยชอบมายุ่มย่ามกับการจับปฏิทินโป๊หรือเรื่องนมหกอยู่ ตลอดเวลา ส่วนเหล่านางแบบก็ได้แต่ร้องไห้เสียใจ แต่กลับไม่ยอมเถียง ปกป้องตัวเอง และอธิบายกลับไปยังรัฐว่า "แฟชั่น" คืออะไร ทั้งยังไม่ยอมรับกันว่าตัวเองถ่ายนู้ดเพื่อเงิน โดยไม่ต้องมาอ้างเหตุผลปลอดเชื้อที่แลดูดี เช่น ต้องการนำเงินค่าถ่ายนู้ดไปรักษาแม่ที่กำลังป่วย

คำ ผกา บอกว่า การถ่ายนู้ดของเธอเป็นการเล่น/ตั้งคำถามกับสังคมว่า แต่ละส่วนของร่างกายอันเปลือยเปล่าที่ถูกฉายภาพออกไปสู่สาธารณะนั้น ถูกสร้างความหมายขึ้นมาอย่างไรบ้าง? (เช่น ความโป๊ในแต่ละยุคสมัยก็ถูกสร้างความหมายที่แตกต่างกันออกไป)

คอลัมนิสต์สุดร้อนแรง (แดง สันคะยอม) แห่งมติชนสุดสัปดาห์

ล่าสุด คำ ผกา ได้เขียนงานลงในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ว่ากันว่างานเขียนของเธอถือเป็น "คอลัมน์การเมือง" ที่มีปฏิกิริยาทางจดหมายตอบกลับมาอย่างรุนแรงและเนืองแน่นมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคราวที่บทความชื่อ "หยุดให้ท้ายพันธมิตร" และ "นับแต่นี้ไปไม่เหมือนเดิม" ได้รับการเผยแพร่ออกไป

จุดยืนในการเขียนคอลัมน์ให้มติชนสุดสัปดาห์ของเธอก็คือ การแสดงความไม่เห็นด้วยต่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และลักษณะสองมาตรฐานในสังคมไทยนับแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยความรู้สึกว่าทำไมจึงไม่มีใครเขียนบทความต่อต้านเรื่องดังกล่าวออกมาให้ "ซื่อ" "ง่าย" "ตรง" และมี"สามัญสำนึกแบบชาวบ้าน" มากที่สุด

เธอเห็นว่าแม้เราจะเกลียดทักษิณมากเพียงใด แต่ก็ต้องรักษาระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเอาไว้ แล้วค่อย ๆ เรียนรู้ถูกผิดกับมันไป อย่าไปตัดตอนมัน เพื่อรีบหาทางออกซึ่งสุดท้ายก็ไม่มีใครมองเห็น แต่ต้องพยายามถกเถียงกัน ด้วยความเชื่อที่ว่าความขัดแย้งและการถกเถียงจะทำให้ผู้คนในสังคมค่อย ๆ เติบโตขึ้น ไม่ใช่ไปแก้ปัญหาด้วยการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารและห้ามมีการถกเถียง กระทั่งผู้คนในประเทศนี้กลายเป็นเด็กที่ง่อยเปลี้ยเสียขาต้องนั่งรถเข็นรออะไรบางอย่างมาโปรดเราไปตลอดชีวิต

ด้วยความคิดเช่นนี้เอง ที่ทำให้มีนักวิชาการคนหนึ่งแซวว่าเธอเป็น "แดง สันคะยอม"

สุดท้าย นักเขียนสาวชื่อดังแห่งยุคได้ฝากถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยว่า อย่าสมยอมกับการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารและการปิดกั้นเสรีภาพ รวมถึงการทำร้ายประชาชนอย่างไม่ชอบธรรม และถึงเวลาแล้วที่เราต้องขึ้นมาต่อสู้กันเสียที

นี่เป็นคำกล่าวปิดท้ายสุดร้อนแรงของ "คำ ผกา"

มติชนออนไลน์, 29 ธันวาคม 2552

“จตุพร”แฉเอกสารลับกต.,บัวแก้วสอบความลับรั่ว-ถกอสส.เอาผิด’จตุพร’

18 December 2009 Leave a comment

"จตุพร"แฉเอกสารลับกต.วางแผนกำจัด"แม้ว"ก่อนสิ้นปี สั่งเร่งปิดทุกคดีใน6ม.ค. ประกาศสงครามกับเพื่อนบ้าน

"จตุพร" แฉเอกสารลับกต.ถึงนายกฯมีแผนลับประกาศสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน แผนสังหาร "แม้ว" ภายในปี52 เร่งปิดคดี "ทักษิณ" ก่อน 6 ม.ค. 53 ทิศทางเดียวกับบิ๊กนายทหาร 3 นาย เป็น "ป" 2 นาย เผยส่ง "จุรินทร์" ไปขอเวียดนามให้กล่อม "เขมร" แต่ไม่เป็นผล

"จตุพร" แฉเอกสารลับ กต.ส่งถึงนายกฯ

ที่พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช. นำเอกสารตราครุฑ ประทับคำสั่ง ลับมากและด่วนที่สุด ที่กต 1303/2555  กระทรวงการต่างประเทศ ถนนศรีอยุธยา กทม.10400 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 ลงลายมือชื่อนายกษิต ภิมรมย์ รมว.ต่างประเทศ และส่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มาประกอบการแถงข่าว โดยเอกสารดังกล่าวระบุ เรื่องแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยอ้างถึง หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ลับมาก ด่วนที่สุดที่ กต 1302/2318 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 สิ่งที่ส่งมาด้วย 1.เอกสารแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 2.ตารางการส่งสัญญาณและระดับความรุนแรงเพื่อเตรียมมาตรการป้องปรามและตอบโต้ การกระทำของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างเป็นขั้นตอน

นายจตุพรกล่าวว่าเอกสารดังกล่าว ได้รับมาจากนายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ที่ได้รับมาจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอีกทีหนึ่ง ซึ่งพบว่าเนื้อหามีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นรูปธรรมซึ่งจะพัฒนาไปสู่การประกาศสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีประเด็นที่น่าสนใจคือ ข้อ 2.4 ที่ระบุเนื้อหาให้บริหารจัดการเวลาให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลไทยมากที่สุด โดยการ เร่งพิจารณาคดีต่างๆของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งเนื้อหานี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ตนเคยออกมาบอกว่ามีบิ๊กนายทหาร 3 นาย เป็น "ป" 2 นาย จะเร่งรัดคดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 6 มกราคม 2553  ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เห็นว่านายกษิตเสียมารยาทและสะท้อนว่าฝ่ายบริหารมีอำนาจสั่งการ แทรกแซงศาลได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีข้อ 3.ระบุถึงจุดหมายปลายทาง โดยให้มีการปรับความสัมพันธ์สู่ปกติ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของกัมพูชา แสดงว่าเรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ข้อมูลว่าจะมีการทำรัฐประหารใน กัมพูชา โดยการสนับสนุนของรัฐบาลไทยใช่หรือไม่

แฉแผนสังหาร"แม้ว"ภายในปี52

นายจตุพร กล่าวว่า นอกจากนี้ประเด็นสำคัญยังมีการระบุด้วยว่าปัญหาทั้งหมดมาจากการที่พ.ต.ท.ทักษิณ มุ่งทำลายความอยู่รอดของรัฐบาล ดังนั้นจำเป็นต้องมุ่งไปที่ต้นตอของปัญหาด้วยการขจัดภัยคุกคามหลัก ซึ่งทำให้คิดได้ว่าการขจัดภัยคุกคามหลักคือการฆ่าพ.ต.ท.ทักษิณ ให้สิ้นซาก ภายในสิ้นปี 2552 ถ้าไม่ได้ต้องแล้วเสร็จภายในเมษายน 2553 ตามที่มีการรระบุในตารางตารางการส่งสัญญาณและระดับความรุนแรงเพื่อเตรียม มาตรการป้องปรามและตอบโต้การกระทำของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งตนจะนำมาเปิดเผยภายในสัปดาห์หน้า

นายจตุพรกล่าวว่า ขณะที่ข้อ 3.1 ระบุถึงการพิจารณาใช้ประเทศหรือบุคคลที่ 3 ที่มีอิทธิพลหรือเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชาในการช่วยคลี่คลายปัญหา จากนั้นพบว่านายอภิสิทธิ์ ได้ส่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางไปประเทศเวียดนาม ซึ่งนายอภิสิทธิ์และนายกษิตคงเข้าใจว่าเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อกัมพูชาได้ ช่วยหยุดยั้ง แต่เป็นการเข้าใจที่ผิดเพราะเวียดนามกำลังจะได้รับประโยชน์จากการกระทำของ รัฐบาลไทย 

ปูดเอกสารลับเนื้อความเดียวสมัยคมช.

นอกจากนั้น นายจตุพร ยังระบุว่า ในข้อ 3.3 ยังมีการระบุถึงมาตรการตอบโต้ขั้นเลวร้ายที่สุด หากพ.ต.ท.ทักษิณ และนายกรัฐมนตรีกัมพูชาร่วมกันกระทำการใดๆจนเกิดความสูญเสียต่อชีวิตและ ทรัพย์สินประชาชนในวงกว้าง คุกคามอำนาจอธิปไตยไทยและสถาบันสำคัญ ซึ่งรวมถึงการดำเนินกิจกรรมเสมือนการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในกัมพูชา ก็จำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องพิจารณาตัดความสัมพันธ์ทางการทูตและยกเลิกการ ติดต่อทุกด้าน รวมถึงการใช้มาตรการทางการทหารเพื่อปกป้องอธิปไตย  จึงเท่ากับว่ารัฐบาลนี้ดำเนินนโยบายทางการทูตที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรประเทศ เพื่อนบ้านและเตรียมประกาศสงครามใช่หรือไม่ 

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้พยายามซักถามรายละเอียดของตารางแผน ปฏิบัติการที่อ้างว่ารุนแรงถึงขั้นเอาชีวิตพ.ต.ท.ทักษิณได้ระบุถึงห้วงเวลา และวิธีการที่จะลงมือหรือไม่ ซึ่งนายจตุพรปฏิเสธที่จะพูดถึงรายละเอียด แต่นำเอกสารชุดหนึ่งที่อ้างว่าเป็นตารางที่แนบท้ายมากับเอกสารชุดที่นายกษิต ส่งถึงนายอภิสิทธิ์มาโชว์สื่อมวลชนเป็นเวลาสั้นๆพร้อมระบุว่าเอกสารดังกล่าว เรียงลำดับแผนการดำเนินการที่สอดคล้องกับเอกสารชุดแรกที่ได้เปิดเผยวันนี้มี การวางแผนกำจัดพ.ต.ท.ทักษิณ ให้สิ้นซากภายในสิ้นปี 2552 ถ้าไม่ได้ก็ต้องภายในเดือนเมษายน 2553  โดยลักษณะคล้ายกับเอกสารลับคมช.ที่เคยนำออกมาแสดง แต่ตนจะรอให้นายกษิตออกมาตอบโต้เสียก่อน จากนั้นจึงจะเปิดเผย ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเอกสารดังกล่าวประกอบด้วย 4 ส่วนคือส่วนที่หนึ่งเป็นการวิเคราะห์ท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งในข้อ 1.3 มีเนื้อหาว่าสถานการณ์ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาจะยืดเยื้อหรือไม่ มิได้ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขภายในประเทศไทยเอง โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าสถานการณ์จะลงเอยอย่างไร ดังนั้นความเป็นเอกภาพของรัฐบาล ทุกส่วนราชการและทุกภาคส่วนของสังคมไทยเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดในการช่วยให้ ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลง ขณะที่ส่วนที่ 2 เป็นแนวทางการดำเนินการ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เป็นไปตามที่พ.ต.ท.ทักษิณ และนายกรัฐมนตรีกัมพูชาคาดหวัง ส่วนที่3 เป็นจุดหมายปลายทาง (end game) และส่วนที่ 4 เป็นข้อเสนอแนะ

มติชน 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1261128960&grpid=00&catid=


บัวแก้วสอบความลับรั่ว-ถกอสส.เอาผิด’จตุพร’

เผยตั้งคกก.สอบ เอกสารโผล่"จตุพร" หารืออัยการสูงสุดเอาผิดแฉชั้นความลับแนวทางสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาป้อง"คำรบ" ด้าน"ชวน"ติงพท.เป็นเครื่องมือเขมร

เมื่อเวลา 15.45 น. นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงถึงกรณีนายจตุพร พรมหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เปิดเผยเอกสารลับที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ทำหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์ไทยต่อกัมพูชาว่า หนังสือดังกล่าวเป็นรายงานการวิเคราะห์พัฒนาการและแนวโน้มความสัมพันธ์กับ กัมพูชา ซึ่งเป็นเอกสารชั้นความลับ ซึ่งกระทรวงไม่สามารถให้รายละเอียดของหนังสือดังกล่าวได้

"แต่ทราบว่าได้มีการเผยแพร่ไปยังหน่วย งานราชการด้านความมั่นคง เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินการดังกล่าว ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวเป็นชั้นความลับ และมีความละเอียดอ่อน จึงไม่อยากให้มีการเผยแพร่ต่อ" อธิบดีกรมสารนิเทศ กล่าว

เมื่อถามว่า ผู้นำเอกสารออกเผยแพร่จะมีโทษอย่างไร นายธานี กล่าวว่า มีพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร พ.ศ.2540 และ ระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของราชการ พ.ศ.2544 กำกับอยู่ ซึ่งต้องพิจารณาการดำเนินการนั้นมีความผิดทางอาญา และขัดต่อ พ.ร.บ.และระเบียบดังกล่าวหรือไม่ ส่วนจะดำเนินการกับแหล่งข่าวที่นายจตุพรได้เอกสารจากบุคคลนั้นอย่างไรบ้าง นายธานี กล่าวว่า ต้องดูว่าสิ่งที่นายจตุพรเผยแพร่ต่อสาธารณชนนั้นเป็นไปในลักษณะใด และต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อัยการสูงสุด ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า เอกสารดังกล่าวจะมีนัยสำคัญถึงการสั่งการเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศหรือไม่ นายธานี ปฏิเสธกล่าวถึงรายละเอียดในเอกสารดังกล่าว แต่เปิดเผยได้เพียงว่าเป็นเอกสารบทวิเคราะห์ถึงแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์ มีความละเอียดอ่อนมาก

เมื่อถามว่า การสอบถามไปยังอัยการสูงสุดจะใช้เวลาดำเนินการเท่าไร และผลออกมาจะเป็นอย่างไร นายธานีกล่าวว่า ในส่วนการดำเนินการของกระทรวงฯ ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของราชการ ทางกระทรวงจะตั้งคณะกรรมการสอบสวน ประกอบด้วย ข้าราชการระดับบริหารของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งผลจะเป็นอย่างไร ต้องรอฟังจากคณะกรรมการดังกล่าวเสียก่อน ส่วนการหารือกับอัยการสูงสุด ต้องดูในบริบทของการดำเนินการใดๆ ที่ผิดทางอาญาหรือไม่

เมื่อถามต่ออีกว่า นายจตุพรอ้างว่านำเอกสารดังกล่าวมาจากข้าราชการ นายธานี กล่าวว่า ต้องสอบสวนว่าเอกสารดังกล่าวออกมาจากข้าราชการดังกล่าว ส่วนโทษฐานจะได้รับนั้นจะต้องรอผลจากการสอบสวนของคณะกรรมการก่อน เนื่องจากเอกสารดังกล่าวมาจากหลายหน่วยงาน ต้องดูรั่วจากตรงไหน อย่างไรก็ตาม ต่อไปต้องกำชับการส่งเอกสารให้เป็นแนวทางและมาตรการในการออกเอกสารอย่างเคร่งครัด

เมื่อถามว่า กระทรวงการต่างประเทศกังวลว่า เอกสารที่หลุดมาจะนำไปอภิปรายโจมตีในสภาหรือไม่ นายธานีกล่าวว่า ตามความเข้าใจเอกสารดังกล่าวเป็นรายงานถึงนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการวิเคราะห์และแนวโน้มความสัมพันธ์ของกัมพูชา ซึ่งเป็นชั้นความลับ แต่หากถูกเปิดเผยหรือหลุดออกไปใช้ในการอภิปรายในสภา ก็ต้องติดตามดู ไม่อยากจะคาดเดา ซึ่งการเผยแพร่เอกสารดังกล่าว ขัดต่อพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร อยู่แล้ว มีผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อประเทศอยู่แล้ว

ส่วนกรณี สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดเผยข้อมูลโทรศัพท์ของนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกของเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ มีการโทรศัพท์ถึงนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ จริงนั้น นายธานี กล่าวว่า ไม่มีข้อมูลในส่วนนั้น เพราะเป็นข้อมูลที่กัมพูชาหามาได้ คิดว่าเป็นรายการหมายเลขโทรศัพท์เข้าออก คล้ายกับใบเสร็จเรียกเก็บเงินของบริษัทมือถือค่ายต่างๆ ทั้งนี้ ส่วนตัวคิดว่า เอกสารดังกล่าวไม่ได้บ่งบอกอะไร

ถามอีกว่า ก่อนนายคำรบจะถูกขับออกจากกัมพูชานั้น นายกษิตได้โทรศัพท์ถึงนายคำรบหรือไม่ นายธานีกล่าวยืนยันว่า นายกษิตไม่ได้โทรศัพท์สั่งการให้ดำเนินการใดๆ สิ่งที่นายคำรบทำนั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูล แต่หลังจากนายคำรบถูกกำหนดให้เป็นบุคคลไม่พึงปรารถนาของกัมพูชาแล้ว นายกษิตอยู่ที่สิงคโปร์และได้โทรศัพท์ไปให้กำลังใจนายคำรบ

"ชวน"แนะรัฐบาล"อภิสิทธิ์" อย่าเต้นตามกัมพูชา

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ว่า รัฐบาลไทยต้องถือหลักอย่างที่อารยประเทศปฏิบัติกัน เพราะรัฐบาลไทยไม่ได้ทำอะไรตามอำเภอใจได้ เรายังมีกฎหมาย มีระเบียบ กฎเกณฑ์ หากยึดในสิ่งนี้ก็จะรักษามาตรฐานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไปได้ อย่าไปทำอะไรด้วยความสะใจ แต่ต้องยึดความถูกต้องซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด รัฐบาลกัมพูชาจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขาไป แต่ต้องยึดกติกาที่อารยประเทศเขาพึงปฏิบัติกัน

ประธานสภาที่ปรึกษาฯ กล่าวอีกว่า กรณีของประเทศไทยเรื่องการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนนายกรัฐมนตรีไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินก่อน จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจกับฝ่ายบริหารที่จะไปชี้ขาดว่าจะส่งตัวผู้ร้าย ข้ามแดนหรือไม่ แต่ของกัมพูชานายกฯ สามารถบอกได้ก่อนว่าไม่ส่ง อย่างนี้ก็แสดงว่ากฎหมายไทยกับเขาไม่เหมือนกัน ไทยจึงต้องยึดแนวของเราไว้

ส่วนเรื่องการดักฟังโทรศัพท์นั้น ประเทศไทยต้องยึดหลักสากล หลักของกฎบัตรสหประชาชาติว่า สถานทูตที่มาตั้งในประเทศไทย ไทยก็ต้องไม่ไปดักฟังโทรศัพท์เขา แต่กัมพูชาจะดักฟังหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ ยิ่งเห็นพฤติกรรมอะไรที่ไม่ปกติ ก็ต้องยิ่งยึดหลักให้แน่นไว้ เพราะคิดว่าวันข้างหน้าจะสามารถอธิบายได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลไทยควรดำเนินการอย่างไร นายชวน กล่าวว่า ต้องหาข้อเท็จจริงให้ได้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้คงไม่ยาก เพราะการเบิกความในศาลก็สามารถบอกได้ส่วนหนึ่งแล้วก็ต้องเคารพ แม้จะไม่เห็นด้วยกับดุลพินิจของศาลกัมพูชา ก็ต้องให้เกียรติ

"โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินต่อนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทย ถูกตัดสินคดีจารกรรมข้อมูลว่ามีความผิด แต่ก็ต้องเคารพและไม่ควรไปวิจารณ์ดุลพินิจของศาลกัมพูชา เนื่องจากอะไรที่ไม่ถูกต้องก็ไม่ควรทำ อย่างไรก็ตาม บางเรื่องแสดงให้เห็นว่ากัมพูชายังมีความเข้าใจผิด เช่น ระบุว่ารัฐบาลไทยจะเอาชีวิต พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ซึ่งผมคิดว่ากัมพูชาคงจะได้รับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง" นายชวน กล่าว

ส่วนที่ฝ่ายค้านจะนำเรื่องนี้ไปอภิปราย ไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ฝ่ายค้านก็ต้องดูข้อเท็จจริงว่าคืออะไร ไม่จำเป็นต้องเข้าข้างรัฐบาลไทย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลประเทศอื่นในสิ่งที่ไม่ถูก ต้อง ตนสนับสนุนให้ยืนอยู่บนความจริงเป็นหลัก

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลต้องทำหนังสือขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายจักรภพ เพ็ญแข หรือไม่ นายชวน กล่าวว่า เรื่องนี้หากมีผู้กระทำความผิด เข้าองค์ประกอบกฎหมายก็มีสิทธิ์ขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่จำเป็นต้องเป็นประเทศกัมพูชา ถ้าเรามีข้อตกลงเราก็ต้องทำ ถ้ารัฐบาลไม่ทำ รัฐบาลก็ผิดถือว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่ที่ควรกระทำ ถึงแม้จะถูกรัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธก็ตาม และเป็นเรื่องของสมเด็จฮุนเซนที่จะคิดไม่ส่งตัวให้ก็ตาม อย่าไปคิดตามเขาก็แล้วกัน อย่าไปคิดว่าถ้าเปลี่ยนตัวนายกฯ และรัฐบาลความสัมพันธ์จะดีขึ้น ปล่อยให้เขาคิดอยู่ฝ่ายเดียว ให้คิดว่าเราก็ต้องทำตามกรอบกฎหมายของเราไป ซึ่งสิ่งนี้ทุกฝ่ายต้องเข้าใจ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลอาฆาตแค้น หรือเจตนาร้ายกับผู้หนึ่งผู้ใดเป็นการเฉพาะ แต่ใครกระทำความผิดคนนั้นก็เป็นผู้ที่รัฐบาลไทยต้องเอาตัวมาลงโทษ นั่นคือสิ่งที่ตนคิดว่าคนยังไม่เข้าใจและไปมองว่าเป็นการไล่ล่า ซึ่งความจริงไม่ใช่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ชัดเจนแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณใช้กัมพูชาเป็นฐานในการเคลื่อนไหวทางการเมือง จะเป็นภาระหนักสำหรับรัฐบาลหรือไม่ ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นหน้าที่รัฐบาลบริหารบ้านเมือง รักษากฎหมายเอาไว้ให้แน่น อย่าไปวอกแวกกับพวกนี้ ไม่อย่างนั้นรัฐบาลจะมีปัญหาเสียเองในวันข้างหน้า ซึ่งคิดว่านายกฯ เองก็พยายามรักษากติกาเอาไว้ อย่าไปตกใจและคิดว่ารัฐบาลเจอปัญหาหนักหรือเบา แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องแก้ปัญหา จะหนักหรือเบาก็ต้องทำงาน

กรุงเทพธุรกิจ 18 ธันวาคม 2552
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20091218/91748/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7-%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AA.%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9E%E0%B8%A3.html



ตอนแรก คิดว่า จตุพร มั่วหรือสร้างเรื่อง
พอเจออีกข่าว … อ้าว หรือมันจริงกันแน่ … ท่าทางจะของจริงนี่หว่า
ถ้าเป็นจริง ก็เห็นได้ว่า มันไม่ถูกต้องที่มีการดำเนินการอะไรในลักษณะนี้
เหมือนอารมณ์ที่มีคนบางกลุ่ม กินปลาดิบจิบไวน์กันแถวๆสุขุมวิท เมื่อไม่นานมานี้ แล้วเรื่องก็เงียบหายไปกับสายลม

Categories: News and politics